คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
แม้การเจรจาระหว่างตัวแทนของฝ่ายรัฐ บาล และตัวแทนของฝ่ายคนเสื้อแดง ในวันอาทิตย์และวันจันทร์ที่ผ่านมา จะจบลงโดยไม่มีผลสรุป
และบรรยากาศของการเจรจาเป็นไปในลักษณะ"อภิปราย"และ"โต้วาที"มากกว่าการหารือ เพราะมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ และที่ผ่านมาฝ่ายหนึ่งไม่มีโอกาสได้ใช้สื่อของรัฐมากเท่ากับอีกฝ่ายหนึ่ง
แต่อย่างน้อยการนั่งลงพบปะถกเถียงกันด้วยเหตุผล และเปิดช่องทางเอาไว้สำหรับการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ย่อมดีกว่าการเผชิญหน้าและเร่งเร้าให้บรรยากาศเขม็งเกลียวมากขึ้น
จึงไม่ควรด่วนปิดช่องทางในการแสวง หาทางออกให้กับสังคม
ด้วยความแตกต่างอย่างมหาศาลของตัว แทนทั้งสองฝ่ายที่เข้าร่วมการเจรจา เพียง สามารถตกลงกันว่าจะมานั่งพูดคุยถกเถียงกันด้วยเหตุผลข้อมูล ก็นับเป็นความก้าวหน้ามากแล้ว
และไม่ควรคาดหวังว่าทั้งสองฝ่ายที่มีความแตกต่างกันแทบสุดขั้ว จะสามารถตกลงกันได้ใน เร็ววัน
ถ้าไม่ต้องการให้การเจรจายืดยาวออกไป ซึ่งในอีกแง่หนึ่งก็เหมือนเตะถ่วงหรือซื้อเวลา คู่เจรจาทั้งสองฝ่ายสามารถทำความตกลงกันได้ ว่าระยะเวลาในการเจรจาควรจะเป็นเท่าใดจึงจะ เหมาะสม
เช่นเดียวกับประเด็น"ยุบสภา"ว่าจะต้องขึ้นกับเงื่อนไขอะไรบ้างและจะใช้เวลาไม่เกินเท่าใด
กระบวนการการเจรจานั้นเปิดช่องให้เกิดการต่อรองได้
เพราะทุกฝ่ายในสังคมย่อมประจักษ์ดีอยู่แก่ใจ ว่ายิ่งการชุมนุมทางการเมืองของคนจำนวนมากยืดยาวไปอีกเท่าใด
ความเครียดที่สะสมอันจะนำไปสู่โอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดหมาย รวมไปถึงการฉวยโอกาส ก่อกวนทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในสังคม ก็จะ ยิ่งมากขึ้นไปด้วยเป็นเงาตามตัว
เพื่อป้องกันมิให้เกิดชนวนปะทุที่จะนำไปสู่ความรุนแรงก็ดี เพื่อจะถอดสลักความขัดแย้งของสังคมในระยะยาวก็ดี จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดช่องทางการเจรจาติดต่อระหว่างกันไว้
ถ้าคำพูดของทั้งสองฝ่ายที่ว่า"ต้องการ ให้สังคมไทยชนะ"ไม่ได้เป็นแค่คำหาเสียงเพียงลอยๆ
แม้การเจรจาระหว่างตัวแทนของฝ่ายรัฐ บาล และตัวแทนของฝ่ายคนเสื้อแดง ในวันอาทิตย์และวันจันทร์ที่ผ่านมา จะจบลงโดยไม่มีผลสรุป
และบรรยากาศของการเจรจาเป็นไปในลักษณะ"อภิปราย"และ"โต้วาที"มากกว่าการหารือ เพราะมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ และที่ผ่านมาฝ่ายหนึ่งไม่มีโอกาสได้ใช้สื่อของรัฐมากเท่ากับอีกฝ่ายหนึ่ง
แต่อย่างน้อยการนั่งลงพบปะถกเถียงกันด้วยเหตุผล และเปิดช่องทางเอาไว้สำหรับการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ย่อมดีกว่าการเผชิญหน้าและเร่งเร้าให้บรรยากาศเขม็งเกลียวมากขึ้น
จึงไม่ควรด่วนปิดช่องทางในการแสวง หาทางออกให้กับสังคม
ด้วยความแตกต่างอย่างมหาศาลของตัว แทนทั้งสองฝ่ายที่เข้าร่วมการเจรจา เพียง สามารถตกลงกันว่าจะมานั่งพูดคุยถกเถียงกันด้วยเหตุผลข้อมูล ก็นับเป็นความก้าวหน้ามากแล้ว
และไม่ควรคาดหวังว่าทั้งสองฝ่ายที่มีความแตกต่างกันแทบสุดขั้ว จะสามารถตกลงกันได้ใน เร็ววัน
ถ้าไม่ต้องการให้การเจรจายืดยาวออกไป ซึ่งในอีกแง่หนึ่งก็เหมือนเตะถ่วงหรือซื้อเวลา คู่เจรจาทั้งสองฝ่ายสามารถทำความตกลงกันได้ ว่าระยะเวลาในการเจรจาควรจะเป็นเท่าใดจึงจะ เหมาะสม
เช่นเดียวกับประเด็น"ยุบสภา"ว่าจะต้องขึ้นกับเงื่อนไขอะไรบ้างและจะใช้เวลาไม่เกินเท่าใด
กระบวนการการเจรจานั้นเปิดช่องให้เกิดการต่อรองได้
เพราะทุกฝ่ายในสังคมย่อมประจักษ์ดีอยู่แก่ใจ ว่ายิ่งการชุมนุมทางการเมืองของคนจำนวนมากยืดยาวไปอีกเท่าใด
ความเครียดที่สะสมอันจะนำไปสู่โอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดหมาย รวมไปถึงการฉวยโอกาส ก่อกวนทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในสังคม ก็จะ ยิ่งมากขึ้นไปด้วยเป็นเงาตามตัว
เพื่อป้องกันมิให้เกิดชนวนปะทุที่จะนำไปสู่ความรุนแรงก็ดี เพื่อจะถอดสลักความขัดแย้งของสังคมในระยะยาวก็ดี จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดช่องทางการเจรจาติดต่อระหว่างกันไว้
ถ้าคำพูดของทั้งสองฝ่ายที่ว่า"ต้องการ ให้สังคมไทยชนะ"ไม่ได้เป็นแค่คำหาเสียงเพียงลอยๆ