ใบสั่งเผด็จการถึงทีวีไทย-ห้ามนำเสนอข่าวเสื้อแดงประกาศชัยชนะ ประกาศความสำเร็จ หรือประกาศได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน ห้ามระบุจำนวนประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมว่ามากเท่าไหร่ ให้ชี้แจงเหตุผลที่รัฐบาลออกพรบ.ความมั่นคง ให้ชี้แจงแนวทางการจัดการต่อผู้ชุมนุมของรัฐบาลว่ามี9ขั้นตอนจากเจรจาไปถึงขั้นสูงสุด หากมีปัญหาให้ตัดภาพหรือเสียงผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์โดยเด็ดขาด
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
28 มีนาคม 2553
นางสาวศุภรัตน์ นาคบุญนำ อดีตผู้ประกาศข่าวช่อง 7 เปิดเผยบนเวทีคนเสื้อแดงว่า ตอนนี้วงการโทรทัศน์ได้ถูกรัฐบาลเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่สื่อมวลชนทั้งของภาครัฐและเอกชนอย่างเข้มงวด สำหรับช่องรัฐบาลนั้นนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้กำกับงานด้านสื่อเข้ามาประชุมสั่งการตลอดเวลา นอกจากนั้นก็มีคิวให้โทรทัศน์ช่องต่างๆไปสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเพื่อเผยแพร่ข่าวจากฝ่ายรัฐบาล และบิดเบือนป้ายสีผู้ชุมนุมด้วย นับว่าเป็นเผดจการคุกคามกว่ายุคใดๆ รวมทั้งยุคของรัฐบาลทักษิณที่สื่อเคยออกมาร้องว่ารัฐบาลคุกคามสื่อด้วย
แหล่งข่าวในวงการโทรทัศน์เปิดเผยกับ"ไทยอีนิวส์"ว่า รัฐบาลและกองทัพได้เข้ามาแทรกแซงการทำงานของโทรทัศน์ทุกช่องอย่างเข้มงวด ทั้งการสั่งการ การขอความร่วมมือผ่านทางเอกสารราชการ และการติดต่ออย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งต้องถูกฝ่ายรัฐบาลกลั่นกรองอย่างละเอียด แม้แต่การนำเสนอภาพที่แท้จริงของผู้ชุมนุมนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นในการชุมนุมใหญ่หลายครั้ง รวมทั้งในวันนี้(28มี.ค.)ที่เสื้อแดงจะเคลื่อนตัวไปชุมนุมที่ร.11 ก็ไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้เห็นแถวชบวนอันเหยียดยาวของเสื้อแดง แม้ว่าโทรทัศน์บางช่องจะมีเลิคอปเตอร์ที่พร้อมจะถ่ายทอดสดภาพจากมุมสูงก็ตามที
ขนาดนำเสนอข่าวภายใต้การแทรกแซงอย่างเข้มงวดขนาดนี้ โทรทัศน์บางช่องก็ยังไม่วายพ้นจากการถูกคุกคาม เช่น มีรายงานว่า สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ถูกผู้มีอำนาจของรัฐบาลต่อว่า ข่าวช่อง 3 ให้เนื้อที่เรื่องเสื้อแดงมากเกินไป โดยเฉพาะรายการ"ข่าว3มิติ" ซึ่งมีนายกิตติ สิงหาปัด เป็นหัวหน้าทีมและผู้ดำเนินรายการ ถูกนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลอสมท. หน่วยงานผู้ให้สัมปทานช่อง 3 ช่อง 9 และTRUEVISION มีคำสั่งห้าม ก่อนหน้านั้นนายกิตติพยายามจะนำเฮลิคอปเตอร์ถ่ายภาพมุมสูงการชุมนุมก็ต้องยกเลิกไป
สำหรับช่อง 3 มี ฮ. เตรียมพร้อมอยู่บนหลังคาของตึก มาลีนนท์ ทาวเวอร์ 1 สามารถขึ้นบินได้ทุกเวลา อีกทั้งยังมีกล้อง High Solution อยู่บนเสาสูงของอาคาร 1 อีกหนึ่งตัว สามารถหมุนถ่ายภาพมุนสูงได้ 360 องศา ดูเหตุการณ์ในกรุงเทพฯได้ไกลหลายกิโลเมตร อุปกรณ์เหล่านี้ สามารถถ่ายทอดภาพได้อย่างดี แต่ไม่สามารถใช้ได้ เพราะเหตุผลการเมืองที่ต้องการปิดข่าวความสำเร็จของคนเสื้อแดงที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก
เปิดเอกสารอสมท.สั่งโทรทัศน์ให้ทำข่าวหนุนรัฐ-คุมรายการเล่าข่าว
สำหรับช่อง 3 ที่มีรายการเล่าข่าวที่คนติดตามชมมากอย่างเรื่องเล่าเช้านี้ หรือเรื่องเด่นเย็นนี้ กรรมการผู้อำนวยการ อสมท. ซึ่งเป็นหน่วยงานใต้การกำกับของรัฐบาลมีหนังสือสั่งไปยังนายประวิทย์ มาลีนนท์ เจ้าของช่อง 3 มีเนื้อหาว่า ให้ควบคุมรายการเล่าข่าว หรือวิเคราะห์ข่าวอย่างเข้มงวด หากจะทำให้เกิดปัญหาก็ให้ตัดภาพและเสียงโดยเด็ดขาด และขอให้ทำความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าใจเหตุผลในการที่รัฐบาลได้ออกพรบ.ความมั่นคง และให้นำเสนอในแง่มุมต่างๆที่รัฐบาลได้ออกพรบ.นี้ และให้เสนอแนวคำวินิจฉัยของศาลที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมว่าทำอะไรบ้างที่ผิดกฎหมาย และให้ชี้แจงแนวทางการจัดการต่อผู้ชุมนุมของรัฐบาลว่ามี9ขั้นตอนจากเจรจาไปถึงขั้นสูงสุด(อ่านรายละเอียดคลิ้กภาพด้านบนเพื่อขยาย)
เปิดใบสั่งกองทัพให้ทีวีรายงานข่าวในทางที่เป็นผลลบต่อการชุมนุม
ขณะที่กรมกิจการพลเรือนทหารบก กองบัญชาการทหารบก ส่งใบสั่งไปยังสื่อต่างๆขอให้ออกข่าวโฆษณาชวนเชื่อทำสงครามข่าวเพื่อให้ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมเสื้อแดงไปในทางที่เป็นผลลบต่อประเทศ ชีวิตของคนกรุงเทพฯ เศรษฐกิจ การลงทุน ตลาดหุ้น และการท่องเที่ยว
พร้อมทั้งขอให้โทรทัศน์ออกข่าวเป็นตัววิ่ง โดยจะส่งให้ทุกวัน นี่เป็นเหตุการณ์สั่งโทรทัศน์ช่อง 9 ก่อนที่นปช.จะเริ่มการชุมนุมใหญ่เมื่อ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา
ข้อความที่1:นายสุเทพฯ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศไม่ประสงค์ให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ส่วนใหญ่ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบ
ข้อความที่2:นายกงกฤษ หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ให้ความมั่นใจว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวไทยมีทิศทางที่สดใส หากปัจจัยการเมืองไม่มีความวุ่นวาย อาจขยายตัวถึง12-15%
ข้อความที่ 3:นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทยกล่าวต้องติดตามสถานการณ์การเมืองช่วงนี้เป็นพิเศษ เพราะปัญหาการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย หากการเมืองเกิดความรุนแรงอาจทำให้การขยายตัวของจีดีพีต่ำกว่า2%
ข้อความที่4:กตม.ยังคงตั้งจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่สำคัญโดยต่อเนื่อง และขออภัยในความไม่สะดวกในเส้นทางการจราจรบางพื้นที่ ทั้งนี้หากพี่น้องประชาชนพบบุคคลและวัตถุต้องสงสัย โทรสายด่วน191และ1555
เปิดใบสั่งกองทัพบกห้ามนำเสนอข่าวเทเลือดประท้วง
ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก ก็เป็นอีกหน่วยงานที่มีบทบาทในการออกใบสั่ง เช่น เหตุการณ์เสื้อแดงไปประท้วงเทเลือดที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ได้มีหนังสือสั่งการไปยังโทรทัศน์ช่องต่างๆ โดยกำชับว่าอาจลดเวลาการเผยแพร่ภาพข่าว หรือการกรองภาพข่าวเทเลือด โดยอ้างว่าเป็นภาพที่ทำให้เกิดความน่ากลัวสยดสยอง อาจส่งผลกระทบทางจิตใจของประชาชน
วันหนึ่งสั่งหลายรอบให้เป็นไปตามแนวทางรัฐ-ศอ.รส.
ศอ.รส.ซึ่งตั้งอยู่ที่ร.11ยังสั่งการไปยังโทรทัศน์ทุกช่องให้รายงานข่าวไปในทิศทางที่รัฐบาลต้องการ เช่น เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากคืนก่อนหน้านั้นท่านผู้หญิงวิระยา นำเสื้อแดงจุดเทียนชัยถวายพระพรในหลวงแล้ว ทางศอ.รส.ก็สั่งไปยังโทรทัศน์ช่องต่างๆว่าให้ขึ้นตัววิ่งดังนี้
-การแสดงออกความจงรักภักดีที่แท้จริง สิ่งที่คสรกระทำคือ การนำพระบรมราโชวาทมาน้อมนำปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องความรู้รักสามัคคี"
โดยบางวันก็สั่งการมาหลายเที่ยวให้ลงข้อความข่าวของรัฐบาล และดิสเครดิตทางผู้ชุมนุม เช่น เมื่อวันที่ 25 มีนาคมมาอีกชุด(คลิ้กที่ภาพเพื่อขยายใหญ่)
ผู้บริหารทีวีรับใบสั่งกำชับฝ่ายข่าวและผู้ประกาศข่าวห้ามนำเสนอชัยชนะ-ความสำเร็จเสื้อแดง
ทั้งนี้รัฐบาลได้กำชับมายังผู้บริหารโทรทัศน์ทุกช่องให้มีแนวนโยบายและแนวปฏิบัติที่จะนำเสนอข่าวในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล และในทางที่เป็นโทษต่อฝ่ายเสื้อแดง โดยมีหนังสือเวียนมายังกองบรรณาธิการข่าว และผู้ประกาศผู้อ่านข่าวโทรทัศน์ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
"แจ้งให้กองบรรณาธิการข่าว และผู้ประกาศข่าวทุกคนรับทราบและปฏิบัติ
ประเด็นข่าวสถานการณ์การชุมนุมเสื้อแดงที่ผู้บริหารสั่งกำชับ และขอความร่วมมือไม่ให้นำเสนอรายงานออกอากาศ ดังนี้
-ห้ามนำเสนอข่าวเสื้อแดงประกาศชัยชนะ ประกาศความสำเร็จ หรือประกาศได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน
-ห้ามระบุจำนวนประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมว่ามากเท่าไหร่
-ห้ามนำเสนอข่าวความเห็นของประชาชนและคนในวงการต่างๆที่สนับสนุนเสื้อแดง
-ห้ามรายงานข่าวที่ยั่วยุสร้างแรงกระตุ้นให้ประชาชนออกไปร่วมชุมนุมใหมากขึ้น
-ห้ามใช้ภาพข่าวเทเลือด ละเลงเลือด เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
-ห้ามนำเสนอข่าวประเด็นการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ต่างชนชั้น ห้ามใช้คำว่า"สงครามระหว่างชนชั้น","ไพร่"กับ"อำมาตย์"โดยเด็ดขาด
สื่ออเมริกาวิพากษ์สื่อทีวีไทยอคติตัวการสร้างความแตกแยก
หนังสือพิมพ์ christian science monitor ซึ่งเป็น นสพ.ชั้นแนวหน้า และมีคนอ่านล้วนเป็นปัญญาชนระดับสูงเน้นข่าวต่างประเทศและข่าวสหรัฐฯ เคยได้รางวัลพูลิซเซอร์ถึง 7 ครั้ง มีความน่าเชื่อถือไม่น้อยกว่า washington post และ Newyork Times ได้รายงานข่าวเรื่อง ทีวีไทยที่มีอคติกำลังขยายการสร้างความแตกแยกให้กับประเทศไทย ( Biased TV stations intensify divides in Thailand protests )โดยระบุตอนหนึ่งว่า การประท้วงในประเทศไทยย่างเข้าสัปดาห์ที่สอง ทีวีไทยก็แพร่ข่าวไม่หยุดโดยเน้นภาพลบสารพัดของการประท้วง รวมทั้งดิสเครดิตผู้ประท้วงอย่างไร้จรรยาบรรณ
"ความแตกต่างของข่าวทำให้คนดูมืดมน บก.ทีวีที่ขออนุญาตไม่เอ่ยนามเพราะกลัวถูกเล่นงาน บอกเราว่า รัฐบาลกำลังเข้าไปแทรกแซงการเสนอข่าว ซึ่งในสมัยห้าปีของทักษิณก็ทำเช่นกัน แต่ตอนนี้ มันหนักกว่าเก่ามาก เขากล่าว"
สำหรับรายละเอียดของรายงานข่าวมีดังต่อไปนี้
ขณะที่การประท้วงในไทยดำเนินไปจนถึงสัปดาห์ที่สองแล้ว สถานีโทรทัศน์ที่เป็นคู่แข่งกันก็รายงานการชุมนุมทั้งวันทั้งคืน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็เน้นเรื่องผลกระทบด้านลบของการชุมนุม
กลุ่มเสื้อแดงพากันท่องไปทั่วกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์, รถกระบะ และ รถจักรยานยนต์ เมื่อวันเสาร์ (20) ที่ผ่านมา ในการชุมนุมประท้วงรัฐบาลครั้งล่าสุด ตำรวจระบุว่ามีผู้ชุมนุมราว 65,000 รวมขบวน ที่มีความยาวหลายไมล์
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง โทรทัศน์ของไทยที่เป็นสื่อที่คนนิยมดู บอกว่ามีผู้เข้าร่วม 25,000 คน และเช่นเคย ภาพข่าวของผู้ชุมนุมถูกการแถลงข่าวของรัฐบาลคลุมทับไปหมด ไม่มีการนำเสนอเรื่องของผู้ชุมนุมโดยทั่วไป
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทีมีผู้ชุมนุมประท้วงด้วยการเทเลือดหน้าทำเนียบรัฐบาล สื่อที่สนับสนุนรัฐบาลก็พากันโหมเรื่องอันตรายต่อสุขภาพ เรื่องการใช้เลือดในเชิงจริยธรรม ขณะที่สื่อผ่ายต้านรัฐบาลเน้นเรื่องการใช้สัญลักษณ์ที่กลุ่มผู้ชุมนุมหลั่งเลือดเพื่อประท้วง
และหลังจากที่การประท้วงดำเนินเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 สื่อกระแสหลักของไทยก็ควรถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลาง ซึ่งจริง ๆ ระยะเวลาที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการแบ่งขั้ว 4 ปี ที่ผ่านมา ก็น่าจะพิสูจน์ได้แล้ว มีนักวิจารณ์บอกว่าช่องสถานีฟรีทีวีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลหรือกองทัพนั้นเต็มไปด้วยอคติ
ด้วยเหตุนี้เอง ชาวไทยหลายคนเริ่มหันไปหาสื่อที่อยู่ข้างเดียวกันอย่างพวกเคเบิลทีวี วิทยุชุมชน และอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดการแบ่งแยกทางการเมืองลึกขึ้น และทำให้การหาจุดร่วมทำได้ยากขึ้น
วันจันทร์ (22) ที่ผ่านมา แกนนำผู้ชุมนุมปฏิเสธไม่ยอมรับการเจรจากับรักษาการนายกรัฐมนตรี และยืนยันอยากเจรจากับตัวนายกรัฐมนตรีเอง ตัวนายกฯ อภิสิทธิ์เองก็ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ให้เขายุบสภาและเลือกตั้งใหม่
ก่อนหน้านี้อคติในสื่อไทยก็เคยทำให้เกิดความขัดแย้งมาแล้ว ในปี 1992 (เหตุการณ์พฤษภาคม พ.ศ. 2535) เมื่อทหารยิงผู้ชุมนุมในกทม. ช่องสถานีของรัฐบาลรายงานว่ามีพวกคอมมิวนิสต์ปลุกระดมให้เกิดจลาจล ภาพที่ถูกใส่ความว่าเป็นการต่อต้านเชื้อพระวงศ์ในหนังสือพิมพ์ปี 1976 (เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519) ก็ทำให้เกิดการสังหารหมู่นักศึกษาโดยกลุ่มที่ถูกจัดตั้งโดยกองทัพ
ไม่กี่ปีที่ผ่านมากลุ่มนักกิจกรรมที่ขัดแย้งกันทั้งสองฝ่ายต่างกดดันสถานีโทรทัศน์เรื่องการเสนอข่าว และมีการคุกคามผู้สื่อข่าวที่นำเสนอจำนวนผู้ชุมนุมน้อยกว่าความจริง จากกรณีนี้เองทำให้สื่อบางแห่งหลีกเลี่ยงการประเมินจำนวนผู้ชุมนุม "พวกเราไม่อยากมีปัญหา เราจึงหลีกเลี่ยงการรายงานเรื่องจำนวน" บรรณาธิการสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งกล่าว
สถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอคนละมุม
เรื่องที่ทำให้ยิ่งเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากขึ้นคือการที่แต่ละฝ่ายต่างมีสื่อของตัวเอง ฝ่ายเสื้อแดงที่ได้รับการสนับสนุนจากคนชนบทและจากชนชั้นแรงงานของไทย เปิดสถานีพีเพิลแชนแนล ที่ถ่ายทอดการประท้วงตลอดวันตลอดคืน ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามคือเสื้อเหลืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางสิทธิเลือกตั้งก็รับข่าวสารจาก เอเอสทีวี ทั้งสองช่องล้วนแต่มีอคติสูง
สุภิญญา กลางณรงค์ นักรณรงค์ด้านเสรีภาพสื่อกล่าวว่า การแพร่ขยายของ 'สื่อใหม่' (new media) ทำให้เกิดการตรวจสอบการควบคุมข่าวสารของรัฐบาล เธอกล่าวอีกว่าสื่อโทรทัศน์ไม่มีพลังในการบิดเบือนความจริงได้มากเท่าในปี 1992 (เหตุการณ์พฤษภาทมิฬพ.ศ. 2535) อีกแล้ว เพราะพวกเขาต้องแข่งกับสื่ออื่น ๆ รวมถึงการส่งรูปและข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต
"ฉันคิดว่า (รัฐบาล) รู้ว่าหากพวกเขาใช้การควบคุมหรือบงการมากเกินไป ประชาชนจะไม่เชื่ออีกต่อไป" สุภิญญากล่าว
บรรณาธิการข่าวโทรทัศน์ผู้ไม่เอ่ยนามเพราะกลัวถูกคุกคามบอกอีกว่า ความแตกต่างจะทำให้ผู้ชมตกอยู่ในความมืด เขาบอกอีกว่ารัฐบาลแทรกแซงการนำเสนอข่าว ซึ่งเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ "แต่ในตอนนี้มันเลวร้ายกว่าเดิม" เขากล่าว
มีเดียมอนิเตอร์ชี้ชัดสื่อทีวีเอียงข้างรัฐบาล
พบว่า ขณะที่หากเป็นการสอบถามความคิดเห็นก็จะเน้นประเด็นเรื่องมาตรการการตั้งรับสถานการณ์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และความเห็นทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล
โครงการศึกษาและเฝ้าระวังสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (Media Monitor) หรือมีเดียมอนิเตอร์ ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส.ได้จัดทำรายงานเรื่อง"มีเดียมอนิเตอร์ชี้ข่าวชุมนุมเสื้อแดงในทีวี พบเน้นเฝ้ารอสถานการณ์ มากกว่าเฝ้าระวัง แข่งรายงานบรรยากาศสด จราจร มาตรการรับรุนแรง แนะเสนอข่าวเชิงรุก ลึก สันติภาพ" ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
จากเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่ทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ที่จัดชุมนุมในช่วงวันที่ 12 – 14 มีนาคมที่ผ่านมา ในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ ก่อให้กระแสความตื่นตัวในสื่อต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และวิทยุอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความขัดแย้งและความรุนแรงนี้ ผู้คนในสังคมต่างจับตาการทำหน้าที่ของสื่อว่าจะสามารถเป็นไปอย่างมีจรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพได้หรือไม่ อีกทั้งการรายงานข่าวนั้นมีส่วนช่วยลดหรือขยายความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้นหรือไม่อย่างไร
โครงการศึกษาเฝ้าระวังสื่อและพัฒนาการรู้เท่าทันสื่อเพื่อสุขภาวะของสังคม (Media Monitor) ทำหน้าที่การเฝ้าระวังการรายงานข่าวของสื่อในสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2549 (สมัยกลุ่มพันธมิตรฯ) จนรัฐบาลปัจจุบัน เห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญทางการเมือง สังคมและสื่อมวลชน โครงการฯ พิจารณาแล้ว จึงจะเฝ้าระวังการรายงานข่าวเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม ใน 10 ช่องสถานีโทรทัศน์ตลอด 24 ชั่วโมง (ได้แก่ ฟรีทีวี 6 ช่อง คือ ช่อง 3, 5, 7, 9, 11, ทีวีไทย, และ เคเบิ้ลทีวีหรือทีวีผ่านดาวเทียมอีก 4 ช่องคือ เนชั่นชาแนล, เอเอสทีวี, ทีเอ็นเอ็น และ ดีสเตชั่น) ว่ามีลักษณะเนื้อหาข่าวเช่นไร
ผลการศึกษา เปรียบเทียบในระดับภาพรวม (ของวันที่ 12 มีนาคม 2553 ตั้งแต่เวลา 00.00-16.00 น.) ดังนี้
1. การให้พื้นที่ข่าว พบว่า โดยรวมสื่อโทรทัศน์ทุกช่องสถานี ให้พื้นที่ข่าวการชุมนุมเป็นข่าวหลักในทุกช่วงข่าว และให้สัดส่วนพื้นที่ข่าวมากกว่าปกติ ช่องที่ให้พื้นที่ข่าวค่อนข้างน้อยได้แก่ช่อง 5 และช่อง 7
2. ประเด็นข่าว พบว่า โดยรวมเน้นประเด็นเหตุการณ์-สถานการณ์/บรรยากาศ/ความพร้อมของกลุ่มผู้ชุมนุม ตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศและในกรุงเทพ เน้นใช้ภาพถ่ายทอดจำนวนผู้ชุมนุม ขณะที่หากเป็นการสอบถามความคิดเห็นก็จะเน้นประเด็นเรื่องมาตรการการตั้งรับสถานการณ์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และความเห็นทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาล ค่อนข้างขาดรายงานพิเศษ – บทวิเคราะห์ทางการเมือง ผลกระทบทางการเมือง-สังคม วัฒนธรรม แต่จะเน้นประเด็นข่าวเหตุการณ์/บรรยากาศ
3. แหล่งข่าว ส่วนมากข่าวเน้นบรรยากาศ/เหตุการณ์การเดินทางมาชุมนุม มีการใช้ภาพจากกล้องวงจรปิดจากกองบังคับบัญชาตำรวจนครบาล (บก.02) ประกอบการรายงานข่าว เน้นเฝ้าระวังเหตุการณ์และรายการงานสภาพการจราจรตามจุดต่างๆ และแหล่งข่าวฝ่ายแกนนำ แต่ไม่มากและไม่เด่นชัด
โดยมากเป็นการรายงานโดยผู้สื่อข่าวภาคสนาม และเน้นสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ ทหาร รัฐมนตรี นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล
4. การใช้ภาพข่าว ส่วนมากเป็นภาพบรรยากาศการรวมตัวของผู้ชุมนุม กิจกรรมการตั้งขบวน พิธีกรรมของผู้ชุมนุม การเดินทาง การตรวจค้นผ่านด่าน ณ จุดต่างๆ โดยใช้ภาพจากผู้สื่อข่าวภาคสนามและภาพกล้องจรปิดขณะที่ช่องเอเอสทีวีมีการปล่อยสกู๊ปพิเศษเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงการชุมนุมเดือนเมษายน 2552
ภาพข่าวที่สื่อนำเสนอ อาจมุ่งเน้นไปที่การสื่อความหมายในเชิงความรุนแรง (ภาพกองกำลังตำรวจและภาพกลุ่มผู้ชุมนุมในลักษณะการเตรียมความพร้อมการปะทะ)
5. การใช้ภาษาข่าว โดยรวมพบว่าใช้ภาษาค่อนข้างสุภาพ ปลอดอคติ และการแสดงความคิดเห็น
ผลการศึกษา สรุปแยกรายช่อง ดังนี้
ช่อง 3 :
รายการข่าวในช่วงผังข่าวปกติ เน้นเกาะติดสถานการณ์การเดินทางเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมในเส้นทางสายต่างๆ โดยเฉพาะภาคอีสาน รวมถึงจำนวนผู้ชุมนุม การรวมตัวของผู้ชุมนุมตามจุดสำคัญในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล สำหรับแหล่งข้อมูลสำคัญที่ใช้มักมาจากฝั่งรัฐบาล ขณะที่ข้อมูลจากกลุ่มผู้ชุมนุมจะเน้นการสรุปเหตุการณ์โดยผู้ประกาศข่าว และผู้สื่อข่าวภาคสนามแทน
เน้นประเด็นข่าวมาตรการของรัฐในการรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุม การตรวจค้นอาวุธ อุปกรณ์ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง เส้นทางการจราจรในกรุงเทพฯ วิถีชีวิต ผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ไม่ให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องหรือความคิดเห็นอื่นๆ จากผู้ชุมนุมมากนัก อีกทั้งพบว่าทิศทางการรายงานข่าวนั้นมุ่งนำเสนอทิศทางหรือเหตุการณ์ในประเด็นการรุก-รับของเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นหลัก
ช่อง 5 :
นำเสนอข่าวตามผังปกติ สลับกับการรายงานสดสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น และรายงานข่าวการชุมนุมในช่วงรายการข่าว เน้นประเด็นข่าว เรื่อง การเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในแต่ละจุด (การเคลื่อนขบวนไปยังสถานที่ต่างๆ) สภาพการจราจร บริเวณต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และประเด็นการเตรียมตัวรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
พื้นที่ข่าวมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยกว่าช่องอื่นอย่างเห็นได้ชัด
เน้นการรายงานสดจากพื้นที่ต่างๆ เข้ามายังห้องส่ง เช่น อนุสาวรีย์หลักสี่ วงเวียนใหญ่ วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ด้านผู้ดำเนินรายการ, ผู้ประกาศข่าว และผู้สื่อข่าว ส่วนใหญ่รายงานตามข้อเท็จจริง ไม่ใส่อารมณ์ และความคิดเห็นขณะรายงานข่าว ด้วยลีลาภาษาแบบผู้ประกาศข่าว ไม่พบคำพูดที่ไม่สุภาพ คำพูดยั่วยุ หรือส่งเสริมให้เกิดความรุนแรง
ช่อง 7 :
พื้นที่ข่าวค่อนข้างน้อย แต่เด่นในช่วงรายงานพิเศษ เน้นสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อมีการเคลื่อนไหวที่สำคัญเกิดขึ้น
มีการรายงานสดแทรกในรายการปกติ (ภาพยนตร์เกาหลีและถ่ายทอดสดการแข่งขันชกมวย) ใช้ชื่อรายการว่า “รายการเกาะติด สถานการณ์ชุมนุมเสื้อแดง” เน้น 3 ประเด็นข่าว คือ ประเด็นการเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในแต่ละจุด ประเด็นสภาพปัญหาการจราจร บริเวณต่างๆ และประเด็นมาตรการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ด้านผู้ดำเนินรายการ, ผู้ประกาศข่าว และผู้สื่อข่าว ส่วนใหญ่รายงานตามข้อเท็จจริง ไม่ใส่อารมณ์ และความคิดเห็นขณะรายงานข่าว ด้วยลีลาภาษาแบบผู้ประกาศข่าว ไม่พบคำพูดที่ไม่สุภาพ คำพูดยั่วยุ หรือส่งเสริมให้เกิดความรุนแรง, มีการแนะนำและให้ความรู้กับประชาชนเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและรักษาความเป็นกลาง
ช่อง 9 :
ให้พื้นที่ข่าวค่อนข้างมาก นำเสนอในทุกช่วงข่าวและเป็นข่าวสำคัญของทุกช่วง มีข่าวต้นชั่วโมงบ่อยและถี่มากกว่าช่องอื่นๆ เน้นประเด็น บรรยากาศการแถลงการณ์ชุมนุม รัฐคุมเข้ม การเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในแต่ละจุด สภาพการจราจร การตั้งด่านตรวจตรา ณ จุด บริเวณต่างๆ
เพิ่มการรายงานความเคลื่อนไหวในต่างจังหวัด ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ และ จ.นครสวรรค์, ภาคอีสาน จ.ศรีสะเกษ, ภาคใต้ จ.สงขลา และภาคกลาง จ.นนทบุรี
การใช้ภาษาข่าวของผู้ประกาศข่าว ค่อนข้างสุภาพ ปลอดอคติ ความคิดเห็น รายงานตามข้อเท็จจริง ไม่ใส่อารมณ์/ความคิดเห็นขณะรายงานข่าว ไม่พบ คำพูดยั่วยุ หรือส่งเสริมให้เกิดความรุนแรง, มีการแนะนำและให้ความรู้กับประชาชนเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ ส่วนรายการคุยโขมงบ่าย 3 โมง พิธีกรชายใส่อารมณ์ขณะรายงานข่าว แต่ไม่ได้รายงานผิดไปจากข้อเท็จจริง
ช่อง 11 :
ให้พื้นที่ข่าวในระดับกลาง รายงานข่าวในช่วงผังข่าวปกติ มีเพลงรณรงค์สันติภาพในช่วงข่าว เน้นการรายงานเรื่องสภาพการจราจร ณ จุดต่างๆ ให้รายละเอียดเรื่องความคืบหน้าของกลุ่มผู้ชุมนุมตามจุดต่างๆ ให้ความสำคัญกับทั้งสองฝ่าย มีการเสนอภาพกราฟฟิกผลโพลล์สำรวจ และหน่วยงานที่สามารถสอบถามปัญหาการจราจร หลายๆ ช่วง ทั้งการรายงานโพลล์จากกรุงเทพฯ โพลล์ และภาพกราฟฟิกศูนย์ปฏิบัติการทางการแพทย์ในพื้นที่ 10 จุด มี Vox Pop ของประชาชนที่ไม่สนับสนุนการชุมนุม ผู้ประกาศรายงานข่าวอย่างสุภาพ
เน้นการสัมภาษณ์เรื่อง การชุมนุมอย่างสันติวิธี จากนักวิชาการมาให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แทรกด้วยรายงานสดทางโทรศัพท์จากผู้สื่อข่าวในพื้นที่รวมทั้งประชาสัมพันธ์ของจังหวัดสมุทรปราการที่รายงานความคืบหน้าการชุมนุมตั้งแต่ต้น แต่การรายงานค่อนข้างใช้คำที่ให้ภาพลบกับฝั่งผู้ชุมนุม เช่น ออกมากล่าวปราศรัยว่า “ที่ออกมาชุมนุมเท่านี้แค่น้ำจิ้มนะ วันที่ 14 จะทำให้รัฐบาลหวั่นไหวมากกว่านี้” หรือผู้ชุมนุมออกมาส่งเสียงเชียร์เสียงดัง และยังทำให้รถติดยาวเหยียดหลายสิบกิโล นอกจากนี้ยังให้รายละเอียดเรื่องเส้นทางการเดินทางต่างๆทั้งทางรถ และทางเรือด้วย พิธีกรในรายการไม่ค่อยมีปัญหาในการรายงาน ไม่ได้ให้น้ำหนักไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
เน้นรายงานความคืบหน้าจากที่ชุมนุมเป็นหลัก มีการรายงานหน้าสทท.ที่ผู้ชุมนุมเดินทางมาชุมนุมด้วย แต่ออกมารายงานหลังจากที่ผู้ชุมนุมเดินขบวนไปแล้ว ไม่มีภาพขณะผู้ชุมนุมมาถึงมารายงาน มีภาพความรุนแรงตอนที่เสื้อแดงทำร้ายประชาชนนำเสนอด้วย ผู้ประกาศและผู้สื่อข่าวภาคสนามใช้ภาษาสุภาพในการรายงานข่าว
ทีวีไทย :
เน้นภาพเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุม ให้รายละเอียดการเคลื่อนขบวน ณ จุดต่างๆ กำลังทำอะไรอยู่บ้าง ไม่มีการสัมภาษณ์แกนนำหรือกลุ่มผู้ชุมนุม การรายงานข่าวทางฝ่ายรัฐบาลเน้นที่ตัวนายกรัฐมนตรีว่ากำลังไปไหน และทำอะไรอยู่ มีการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้มีการให้รายละเอียดเรื่องการจราจรกับผู้ชมว่าบริเวณที่มีการชุมนุมมีสภาพการจราจรเป็นอย่างไร รายละเอียดของสภาพแวดล้อมในบริเวณใกล้เคียง ทั้งร้านค้า ธนาคาร ปั๊มน้ำมัน ว่ามีที่ไหนเปิดบริการและที่ไหนปิดบริการไปแล้ว
มีการนำเทปรายการ ตอบโจทย์ ที่มาออกอากาศซ้ำ โดยนำคำสัมภาษณ์ของแกนนำนปช.และฝ่ายรัฐบาลที่เป็นประเด็นสำคัญมาออกอากาศให้ชม มีการรายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์การชุมนุม และมี Vox Pop ของประชาชนเกี่ยวกับสันติวิธีในการชุมนุม
ผู้ประกาศใช้ภาษาข่าวสุภาพ มีการตั้งคำถามในเชิงรุกต่อแหล่งข่าวและผู้สื่อข่าว ภาคสนามเพื่อต่อยอดประเด็นต่างๆ ออกไป ให้ผู้ชมเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ในขณะนั้น
ช่อง TNN :
เกาะติดสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่มักรายงานสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น เนื้อหามุ่งนำเสนอการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมในภาคส่วนต่างๆ ทั้งแกนนำ จำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุม การตรวจค้นอาวุธ การเคลื่อนไหวของบุคคลสำคัญในรัฐบาล และเน้นหนักไปที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ สถาบันทางการเงิน ตลาดหุ้น การจราจรในกรุงเทพฯ ข้อมูลที่ได้มักมาจากผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ และบุคคลในรัฐบาลมากกว่ากลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งเปิดพื้นที่เพียงการสรุปความโดยผู้สื่อข่าว และผู้ประกาศข่าวเท่านั้น
ช่อง เอเอสทีวี :
ให้พื้นที่ข่าวอย่างต่อเนื่อง เน้นรายการสนทนา และนำเสนอผลกระทบจากการชุมนุม เช่น สถานการณ์ตลาดหลักทรัพย์ เน้นวิพากษ์วิจารณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมากกว่ารายงานข่าวการติดตามสถานการณ์ มีการใช้ภาพข่าวความรุนแรงจากการชุมนุมมานำเสนอประกอบ (ภาพเก่าช่วง เม.ย.52) ในลักษณะสารคดี เน้นการใช้ภาษาบรรยายที่สื่อถึงความรุนแรง ใช้คำสนทนาระหว่างพิธีกรที่แสดงความคิดเห็นรุนแรง เช่น “ชั่วช้าที่สุดเลย”, และในช่วงรายการบิสสิเนสเฮดไลน์ พิธีกรพูดว่า “เรามาติดตามลิ่วล้อระบบทักษิณ” เน้นแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่ากลุ่มเสื้อแดง และมีการสัมภาษณ์ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนขบวนของกลุ่มเสื้อแดง
ช่อง D Station :
เกาะติดสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เนื้อหามุ่งนำเสนอความเคลื่อนไหวของการชุมนุมในลักษณะของการปลุกระดม ผ่านการให้ข้อมูลโดยแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม และพบว่าผู้ประกาศข่าวมีบทบาทในการสรุปเหตุการณ์ ให้ข้อมูล บรรยาย หรือแม้กระทั่งร่วมแสดงความคิดเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์ โดยข้อมูลมุ่งวิพากษ์บุคคลในรัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ องคมนตรี และมักปรากฏถ้อยคำลักษณะ “ประกาศสงคราม” อยู่เสมอ
ทิศทางการนำเสนอไม่ได้อธิบายเหตุการณ์ในมุมของกลุ่มผู้ชุมนุมมากนัก แต่มักนำเสนอการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และผู้ดูแลควบคุมการชุมนุม และให้พื้นที่มากเป็นพิเศษกับการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กลุ่มทหาร และมุ่งสร้างความเกลียดชังฝั่งรัฐบาลอย่างชัดเจน มีการใช้คำชักชวนผู้ชุมนุมให้ออกมาชุมนุม เช่น “ผมขอเชิญให้ประชาชนออกมาร่วมกันชุมนุมเพื่อทำสงครามครั้งสุดท้าย….”