บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

เจรจายกแรก มาร์คยันไม่ยุบสภา

ที่มา thaifreenews

การเจรจาระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับแกนนำเสื้อแดง ที่สถาบันพระปกเกล้า แจ้งวัฒนะ เริ่มต้นเมื่อเวลา 16.30 น.รัฐบาลส่ง “อภิสิทธิ์-กอร์ปศักดิ์-ชำนิ” เสื้อแดงส่ง “วีระ-จตุพร-เหวง” ด้าน “ไข่มุกดำ” อ้างมั่วขอให้นายกฯยุบสภา เพื่อขอประชามติก่อนเดินหน้าไปสู่การแก้ รธน.กล่าวโทษปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะนายกฯไปยอมรับกฎเกณฑ์ คมช.ด้านนายกฯ รู้ทันแจงเรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อแก้ไข รธน.เพื่อนิรโทษกรรมให้กับใครบางคนใช่หรือไม่ ยัน รธน.40 ดีที่สุด แต่ก็เละ เพราะผู้ใช้ ย้อนถามผู้ชนะการเลืกตั้งแต่ถูกจับแพ้เพราะโกง จะยอมรับกฎเกณฑ์ได้หรือไม่ “จตุพร” รับรองหากยุบสภาเลือกตั้งใหม่จะไม่มีการต่อต้านจากกลุ่มเสื้อแดง ขณะที่ “มาร์ค” ยืนยันขอเวลาเคลียร์ปัญหาความขัดแย้งในสังคม และแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่บอกว่าเป็นปัญหาก่อนจึงจะคืนอำนาจให้ประชาชน ไม่เชื่อขี้ปากแกนนำจะไม่มีการต่อต้านในการลงหาเสียงเลือกตั้ง ด้าน “ชำนิ” ชี้ วิกฤตการเมือง แก้ไม่ได้ด้วยการยุบสภา ยกปี 48 ต้นตอปัญหาสั่งสมมาถึงทุกวันนี้ แกนนำ นปช.จึงได้ขอตัดบทเพื่อยุติการเจรจา และขอให้รัฐบาลกลับไปทบทวนการยุบสภา โดยขีดเส้นรัฐบาล 2 สัปดาห์ว่าจะยุบสภาตามข้อเสนอได้หรือไม่ ส่วน นปช.ก็จะขอนำการหารือไปขอมติที่ประชุมคนเสื้อแดงต่อไป

วันนี้ (28 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.45 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาถึงสถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและสวมเสื้อเชิ้ต ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่ได้ไปดักรอทำข่าว มีรายงานข่าวแจ้งว่า นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการพระปกเกล้า ได้เตรียมห้องประชุมไว้รองรับการเจรจาจำนวน 3 ห้อง ประกอบด้วย ห้องประชุมใหญ่ สภาพัฒนาการเมือง สามารถใช้ถ่ายทอดสดได้ และบรรจุผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 120 คน ห้องประชุมเล็ก และห้องแถลงข่าว สำหรับผู้ที่เข้าร่วมเจรจาในส่วนของรัฐบาล ประกอบด้วย นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส่วนระบบรักษาความปลอดภัยโดยรอบบริเวณได้ใช้กำลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 1 กองร้อย

ต่อมาเมื่อ 15.50 น.นายวีระ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ได้เดินทางถึงที่ประชุมด้วยในหน้ายิ้มแย้มและทักทายสื่อมวลชนอย่างเป็นกันเองแล้วเช่นกัน ด้วยปราศจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่สั่งห้ามไม่ให้เดินทางมายังสถานที่จัดการเจรจา ล่าสุดทีมเจรจาทั้งสองฝ่ายได้เข้าไปกำหนดกรอบการเจรจาภายในห้องประชุมเล็ก

จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.15 น.การเจรจาเพื่อกำหนดกรอบในเบื้องต้น คาดว่า จะได้ข้อยุติ ก่อนที่ทั้งนายกรัฐมนตรี และ นายวีระ ได้นำทีมเจรจาทั้งสองฝ่ายย้ายการหารือมาที่ห้องประชุมใหญ่สภาพัฒนาการเมือง ที่สามารถถ่ายทอดสดทั้งเสียงและภาพได้ขณะการหารือ

สำหรับตัวแทนฝั่งรัฐบาล ประกอบไปด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ในส่วนของตัวแทนกลุ่มคนเสื้อแดง ประกอบไปด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นพ.เหวง โตจิราการ โดยเมื่อทั้งสองฝ่ายมาถึง นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าให้การต้อนรับ

ขณะที่ด้านนอกห้องเจรจาก็มีสื่อมวลชนให้ความสนใจมาทำข่าวเป็นจำนวนมาก และมีข้าราชการการเมืองจำนวนหนึ่งที่มาสังเกตการณ์ เช่น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง นายศิริโชค โสภา ส.ส.ประชาธิปัตย์ และเลขานุการส่วนตัวนายกรัฐมนตรี เป็นต้น

ทั้งนี้ ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้า กางเกงสีดำ ทั้ง 3 คน ขณะที่ตัวแทนฝ่าย นปช.ก็มาในชุดเสื้อสีแดง โดย นายชำนิ นั้น ถูกเลือกขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวแทนเจรจา เพราะมีความรู้จักมักคุ้นกันกับ นายวีระ และ นายจตุพร เป็นอย่างดี โดยในเวลา 16.15 น.ทั้งสองฝ่ายก็เดินเข้าห้องประชุม โดยเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าถ่ายภาพ ขณะที่การเจรจาก็เริ่มต้นขึ้นในเวลา 16.30 น.โดยมีการถ่ายทอดสดทาง สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11)

ในช่วงต้น นายวีระ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ได้สละเวลามานั่งเจรจาเพื่อหาทางออกในครั้งนี้และเชื่อว่า คนไทยไม่ว่าจะสวมเสื้อสีอะไร ก็รู้สึกโล่งใจ เพราะหากปล่อยให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะหรือพ่ายแพ้ มีแต่ชาติบ้านเมืองที่จะเสียหาย พร้อมทั้งยืนยันว่าเจตนาของคนเสื้อแดง ก็คือ ให้นายกรัฐมนตรียุบสภา เพื่อนำไปสู่การขอประชามติจากประชาชนเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง ก่อนนำไปสู่การแก้ไข รธน.ฉบับปี 50 ที่เกิดจากการทำรัฐประหาร ได้มาโดยผิดครรลอง และไม่เป็นประชาธิปไตย ดังจะเห็นพิษสงจากนักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิ หรือพรรคการเมืองถูกยุบ รธน.ฉบับจึงมีที่มาจากเผด็จการทหาร

“นายกฯ ไปยอมรับกฎเกณฑ์ของ รธน.50 ทำเป็นทุกคนตกเป็นเหยื่อของการทำรัฐประหาร ทั้งนายกฯเองก็เป็นนักเลือกตั้ง จึงขอไหมให้มีกระบวนการแก้ รธน.แต่เวลาล่วงเลยมาแล้วปีเศษ การแก้ รธน.ก็ไม่ความคืบหน้า กลุ่มคนเสื้อแดงก็เลยหมดความอดทนจึงจำเป็นต้องออกมาเดินขบวนกันข้างถนน” นายวีระ กล่าว

ต่อมา นายอภิสิทธิ์ กล่าวบ้างว่า เจ้าหน้าที่และรัฐบาลไม่ได้เป็นศัตรูกับผู้ชุมชุม แต่มีหน้าที่ต้องปกป้องประชาชนทุกคน และที่ผ่านมา พยายามหลีกเลี่ยงไม่เกิดการเผชิญหน้า ส่วนข้อเสนอให้ยุบสภาเพื่อเปิดให้มีการเลือกตั้งเพื่อนำไปสู่การแก้ รธน.ก็ถามว่า ยุบสภาไปแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่แล้ว ได้พรรคการเมืองหน้าเดิมๆ กลับเข้ามาบริหารประเทศ ก็จะหวนคืนสู่ความวุ่นวายเดิมๆ หรือพรรคที่ชนะการเลือกตั้งแต่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ หรือถูกยุบพรรคอีก จะรับกฎเกณฑ์ที่บัญญัติเอาไว้ได้หรือไม่ หรือการเร่งรีบที่จะแก้รธน.เพื่อนิรโทษกรรมให้กับใครบางคนใช่หรือไม่

ดังนั้น ข้อเรียกร้องเพื่อให้ยุบสภาดูจะมีนัยยะที่ขัดแย้งกันเอง ส่วนที่มากล่าวโทษว่า รธน.ปี 50 คือ ต้นเหตุปัญหาทั้งหมดก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะ รธน.ปี 40 ที่ถือว่าดีก็ถูกผู้มีอำนาจในขณะนั้นแทรกแซง ในอำนาจครอบงำองค์กรอิสระจนไม่สามารถตรวจสอบฝ่ายบริหารได้ นั่นคือ ต้นเหตุของปัญหาจนเกิดการเมืองข้างถนนในปี 48

หลังการเจรจาสองฝ่ายผ่านไปได้ราว 1 ชั่วโมง ตัวแทนของฝ่ายรัฐบาล และฝ่าย นปช.ได้สลับกันพูดในประเด็น และข้อเสนอของตัวเองจนเกือบครบแล้ว โดยตัวแทนฝ่าย นปช.โดย นายวีระ ซึ่งเป็นฝ่ายพูดก่อนก็พยายาม ระบุว่า การรัฐประหาร 19 ก.ย.49 นั้น เป็นเหตุของปัญหาทุกอย่าง และได้เสนอให้ นายอภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภา พร้อมสัญญาว่าหลังการยุบสภาฝ่ายคนเสื้อแดงที่อยู่ภายใต้การนำของพวกตนจะยุติการเคลื่อนไหวใดๆ และเมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้วฝ่ายใดได้เสียงข้างมากทั้งสองฝ่ายก็ต้องยอมรับ

ในส่วนของรัฐบาลโดย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การที่กล่าวว่ารัฐประหาร 19 ก.ย.เป็นต้นเหตุของปัญหาทุกอย่างก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะปัญหาได้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแล้ว นอกจากนี้ ยังได้สอบถามฝ่ายตัวแทน นปช.กลับด้วยว่าฝ่ายรัฐบาลยังไม่เห็นว่าการยุบสภาจะสามารถแก้ปัญหาทางการเมืองในขณะนี้ได้ นอกจากนี้ การเจรจาและตัดสินใจในวันนี้ระหว่างสองฝ่ายก็ยังไ่ม่สามารถผูกพันไปถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญและฝ่ายตุลาการใดๆ ได้

นายจตุพร พหรมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระหว่างเจรจาแก้ปัญหาการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่ระบุว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เดิมทุกฝ่ายพร้อม

จะแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์เสนอ แต่พอ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โทรศัพท์มาบอกว่าไม่ให้แก้ไขพรรคเพื่อไทยจึงประกาศไม่เอาด้วยนั้นไม่จริง แต่เพราะพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดแก้ไขจริง และเห็นว่า 1 ใน 4 เงื่อนไขของพรรคร่วมรัฐบาลคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ดำเนินการ

นายจตุพร กล่าวว่า ที่พวกตนมาวันนี้ ก็เพื่อเจรจาเรื่องยุบสภา ซึ่งจะเป็นทางออกของประเทศ โดยลงสัตยาบันว่าจะไม่ขัดขวางการหาเสียง เพราะขณะนี้เมื่อท่านนายกฯหรือคนในรัฐบาลไปที่ไหนมีแต่คนต่อต้านแล้วจะบริหารบ้านเมืองไปอย่างไร ในเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศว่า ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้ ส.ส.240 คน ล่าสุด นายสุเทพ เทือกสุุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ประกาศว่าจะได้ ส.ส.280 คน

เมื่อมั่นใจจะไปกลัวอะไรก็ประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ รับรองว่า ท่านจะไปหาเสียงได้ทุกที ไม่มีใครต่อต้าน เมื่อท่านชนะเลือกตั้งก็กลับมาเป็นนายกฯ บริหารประเทศโดยไม่มีใครต่อต้าน

ด้าน นายชำนิ กล่าวว่า ถ้่าพูดในลักษณะของนายจตุพร เหมือนเป็นการเอาปัญหาของเรา 2 ฝ่ายมาพูดคุย ไม่ใช่ปัญหาของคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงควรมาพูดคุยเพื่อหาทางออกและเป็นที่ยอมรับของคนทั้งประเทศจะเหมาะสมกว่า

ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวว่า ที่นายกรัฐมนตรีพูดนั้นเป็นแค่ผิวของปัญหา ไม่ใช่แก่นแท้ พร้อมกล่าวว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มีการสร้างโครงสร้างการเมืองใหม่ของประเทศ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะฉีกรัฐธรรมนูญปี 40 แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สร้างรัฐอำมาตยาธิปไตย รัฐทหาร รัฐบาลชุดนี้ก็เป็นผลพวงจากอำมาตยาธิปไตย

นพ.เหวง ยังพูดไปถึงสมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อดำเนินการกับกลุ่มพันธมิตรฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผาจินดา ผบ.ทบ.ที่จะต้องดำเนินการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับไม่ดำเนินการ ถือว่า พล.อ.อนุพงษ์ เหยียบย่ำกฎหมาย ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา

“เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางการเมือง ประชาชนมีความคิดที่แตกแยกกันอย่างกว้างขวาง คนบางส่วนเห็นว่าขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในยุคอำมาตยาธิปไตย รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลของอำมาตยาธิปไตย อำนาจของประเทศเป็นของทหาร และตุลาการถูกครอบงำ ดูจากการตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาพิจารณาประกอบ ดังนั้น จึงไม่มีทางออกใด้เลยในการการแก้ปัญหานอกจากยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน เลือกตั้งใหม่”

นพ.เหวง ยังตั้งคำถามต่อนายกรัฐมนตรี ว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ท่านบอกมาจากประชามติของประชาชนนั้น ก็อยากถามว่า ประชามติภายใตัปากกระบอกปืนนั้น ถือเป็นประชามติที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่

นพ.เหวง ใช้เวลานานมากในการพูดโดยไม่เกี่ยวโยงกับการเจรจา จนนายอภิสิทธิ์ และผู้แทนฝ่ายรัฐบาลรู้สึกอัดอัด นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสิ้อแดงที่ไปร่วมเจรจาด้วยเองก็รู้สึกรำคาญ ทนไม่ได้ต้องส่งโน๊ตให้ หยุดพูด

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงคำรับรองของนายจตุพร ที่ว่าหากยุบสภาแล้วจะสั่งห้ามกลุ่มเสื้อแดงไม่ให้ต่อต้านนั้นไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านมามีการสร้างความเข้าใจผิด นำเทปตัดต่อเสียงของตนสั่งฆ่าประชาชนมาเปิดปลุกระดม จนเกิดความเกลียดชัง ตนไปหาเสียงก็เชื่อว่าจะเกิดการต่อต้าน ไม่คิดว่าใครจะกดปุ๊มให้หยุดต่อต้านได้ หากจะให้ยุบสภา ควรจะใช้เวลาสักนิดมาประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยกัน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ตนก็พร้อมจะยุบสภา

“วันนี้ผม 3 คนมานั่งพูดคุยเพื่อรับฟังปัญหาของท่าน และเห็นว่า เหตุผลของท่านใช้ได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ผมมีหน้าที่ต้องรับฟังคนอื่นด้วย แล้วนำมาหาคำตอบ หาทางออกในสิ่งที่ดีเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ วันนี้พี่น้องประชาชนคงเสียใจมากหากเรามานั่งคุยกันแล้วบอกว่าจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ หริอยื่นคำขาดให้ดำเนินการ”

ด้าน นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้มายื่นคำขาดใดๆ แต่เห็นว่า สมัยกลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุม ท่านเป็นฝ่ายค้านท่านพูดในสภา ว่า ควรจะรับฟังผู้ชุมนุม พวกตนจึงมาวันนี้ ขอเรียกร้องของพวกตน คือ ยุบสภาเรื่องเดียว ไม่เกี่ยวกับคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถ้าท่านไม่ยุบสภาก็ต้องต่อสู้กันต่อไป แต่ให้สบายใจว่าจะไม่บุกทำเนียบ แต่ระหว่างพูดคุยกันนี้ไม่ทราบว่า อีก 2-3 วันสถานการณ์จะตึงเครียดอย่างไร เพราะมีเหตุระเบิดรายวัน การมาครั้งนี้จะมาเรียกร้องเรื่องเดียวในเรื่องยุบสภา

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา เราไม่ได้คุยกัน เมื่อมาคุยกันแล้วก็เป็นสิ่งที่ดี ตนไม่เคยปฏิเสธเรื่องการยุบสภา เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ว่าตนไม่พยายามเท่าที่ควร ความจริง คือ 6 ประเด็นที่กรรมการสมานฉันท์เสนอมานั้น ตนเรียนว่า ถ้าแก้ 6 ประเด็นแล้วมีการสมานฉันท์ตนไม่มีปัญหา แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยไม่ร่วมแก้ไขแล้วจะสมานฉันฑ์กันอย่างไร จึงไม่เดินหน้าต่อ

ส่วนเรื่องยุบสภานั้น ต้องตอบคำถามผู้คนทั้งประเทศ ตนได้ถาม นายวีระ ท่านก็พูดถึงเรื่องมรดกของรัฐประหาร ตนก็บอกว่า ประเด็นเหล่านี้เมื่อเห็นเป็นช่องว่างที่ต้องมาแก้กัน หากอยากที่จะแก้ปัญหาของประเทศ วางกรอบเวลาในการพูดคุย ในการแก้ปัญหาเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงยุบสภา ส่วนที่ตนบอกว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนแล้วยุบสภานั้น ตนเชื่อว่า การแก้ัไขคงไม่นาน เพราะมีการศึกษามาแล้ว ส่วนปัญหาความไม่สงบ มีการต่อต้าน มีเรื่องระเบิดรายวัน หากแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ก็มาคุยกัน หรือนายวีระ จะกลับไปหารือกับผู้ชุมนุม ตนก็จะไปหหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล แล้วมาคุยกันในวันพรุ่งนี้ก็ได้

ด้าน นายจตุพร ไม่ยอม โดยอ้างว่าไม่เชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำได้ เพราะขนาดพรรคร่วมรัฐบาลเรียกร้อง ยังไม่แก้เลย พวกตนยอมไปตายเอาดาบหน้า เพราะเห็นว่าการแก้กติกาก่อนเลือกตั้งเป็นเรื่องยาก ตนเลือกที่จะไปตายเอาดาบหน้า ฉะนั้น ขณะนี้อยู่ที่ท่านถ้าท่านมั่นใจว่าจะกุมสภาพได้ บริหารประเทศได้ต่อไป ก็ทำไป แต่พวกเรามีข้อเสนอที่ชัดเจน คือ เรื่องยุบสภา ถ้าไม่ยุบก็ต้องต่อสู่กันต่อ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ได้สนใจความอยู่รอด แต่สนใจว่าหากยุบสภาแล้วบ้านเมืองจะเดินไปได้อย่างไร ตนมองว่า พวกเราไม่ใช่ทุกฝ่าย ถ้าท่านจริงใจให้มันสงบทำได้ ถ้าตนมาหลอกลวงท่านรับปากอะไรแล้วไม่ทำ ใครก็อยู่ไม่ได้ แต่ถ้ามายื่นเงื่อนไขว่าจะเอาอย่างโน้นอย่างนี้ คงเจรจากันลำบาก ตนไม่ว่าจะเอาสังคมไปตายเอาดาบหน้า

นายจตุพร ยังคงยืนยันถ้าต้องการให้บ้านเมืองสงบ ประเทศเดินหน้าก็ต้องยุบสภา เลือกตั้งใหม่แล้วรับรองว่าจะไม่มีใครมาต่อต้าน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พวกเราก็ต้องการอย่างนั้น แต่ใครจะรับรองได้ว่าจะไม่เกิดการต่อต้าน หรือถ้าเกิดก็มาอ้างว่าเป็นพวกแดงเทียม

หลังการเจราผ่านไปได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ทั้งสองฝ่ายได้ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ 5 นาที เพื่อพักการเจราจาก่อนกลับมาบทสรุปของเจรจาในช่วงท้าย

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า บรรยากาศความขัดแย้งที่เกิดขึ้น รวมทั้งการยื่นเงื่อนไขเพื่อขอให้รัฐบาลยุบสภาอย่างเดียว คงเป็นไปไม่ได้ เพราะบนเวทีเสื้อแดงยังมีการบิดเบือนข้อมูล ทั้งที่กระผมได้พยายามชี้แจงไปแล้วหลายครั้ง รวมทั้งการนำพยานหลักฐานมาชี้แจง เช่นการใช้คลิปเสียงตัดต่อและนำไปขยายผลบนเวทีเพื่อก่อให้เกิดความบานปลาย และขอยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่มีการซื้อเวลา แต่ขอให้ใช้เหตุการณ์ในอดีตนำไปสู่การแก้ปัญหา ดีกว่ามากล่าวอ้างต้นตอของปัญหา

หลังจากนั้น นายชำนิ ได้ย้ำว่า ข้อเรียกร้องเพื่อให้ยุบสภา เพื่อเอาการเมืองออกจากวิกฤตคงไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างเช่นการยุบสภาในปี 48 เพื่อจัดการเลือกตั้ง ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วไม่สามารถแก้วิกฤตบ้านเมือง แต่กลับนำปัญหาใหม่มาสู่ประเทศรอบใหม่ จนกระทั่งสั่งสมมาถึงทุกวันนี้ วันนี้การยุบสภาคงไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ว่า เพื่อยุติความขัดแข้งระหว่างรัฐบาลและเสื้อแดงเท่านั้น แต่คงต้องถึงคนทั้งประเทศ

นายวีระ กล่าวในช่วงท้ายว่า การเจรจาวันนี้ คงไม่ความคืบหน้า เพราะเราได้พูดและรับรู้กันทั้งสองฝ่าย แต่อยากถามว่ารัฐบาลให้ความสำคัญคนเสื้อแดงอย่างไร ก็อยากให้รัฐบาลไปทบทวนว่าจะยุบสภาหรือไม่ยุบ ส่วนแกนนำ นปช.ก็จะกลับไปทบทวนและขอมติจากที่ชุมนุม ด้าน นายจตุพร กล่าวว่า ขอให้เวลารัฐบาลไปทบทวนว่าจะยุบสภาหรือไม่ภายใน 2 สัปดาห์และพร้อมเปิดเจรจาทุกเมื่อ

ด้าน นายกฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้แกนนำ นปช.ไปทบทวนด้วยว่าจะยุบก่อนแก้หรือจะแก้ก่อนยุบ และให้ข้อคิดว่าการยุบสภาหรือไม่ รัฐบาลคงไม่คำนึงเฉพาะเงื่อนไของคนเสื้อแดง ก่อนการเจรจาจะยุติลง โดยใช้เวลาประมาณพร้อมนัดการเจรจาใหม่ในวันพรุ่งนี้เวลา 18.00 น.ที่สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ อีกครั้ง

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker