ในที่สุดประเทศไทยก็หาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองด้วยการเจรจา ซึ่งถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองที่น่าจะใช้เป็นแบบอย่าง หลังจากที่เกิดการเผชิญหน้าและเป็นปัญหามาอย่างยาวนาน
การพบปะกันระหว่างรัฐบาล ซึ่งนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ และแกนนำเสื้อแดงนำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่สถาบันพระปกเกล้า
บรรยากาศดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี ต่างฝ่ายต่างก็ยกเหตุผลขึ้นมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าด้วยระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
ซึ่งฝ่ายเสื้อแดงยืนยันว่าวันนี้ประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตย เพราะผลพลวงมาจากการยึดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย. 49 ทำให้กลไกต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้ระบบนี้ ซึ่งเรียกว่าอำมาตยาธิปไตย
เสนอทางออกว่าควรจะ "ยุบสภา" คืนอำนาจให้ประชาชน
และรัฐธรรมนูญปี 50 คือปัญหาที่เป็นกลไกของการยึดอำนาจ
ทั้งนี้ ให้ทุกพรรคที่เสนอตัวให้ประชาชนเลือกตั้งว่าจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากการเลือกตั้งแล้วปรากฏพรรคที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญชนะเลือกตั้งเมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลก็แก้ไขรัฐธรรมนูญ หากพรรคที่ไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญชนะเลือกตั้งก็ไม่ต้องแก้ไข
ถือว่าเป็นประชามติของประชาชนและจะไม่มีการต่อต้าน เสื้อแดงจะหยุดเคลื่อนไหวและไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด
เพราะถือว่าเป็นอำนาจการตัดสินใจของปวงชนชาวไทย
ซึ่งฝ่ายรัฐบาลมีความเห็นว่าทุกฝ่ายต่างก็ต้องการให้ประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ และต้องการหาทางออกให้กับประเทศ
นายกฯให้ความเห็นว่าไม่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารแต่ อย่างใด แต่หากให้มีการยุบสภาแล้วจะแก้ปัญหาของประเทศได้จริงหรือ หากพรรคที่ไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญชนะเลือกตั้งและไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ
มันเป็นทางออกของประเทศจริงหรือ?
มันจะแก้ไขความขัดแย้งได้จริงหรือ?
ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งถือว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุดเมื่อประชาชนได้มีส่วนร่วมมากที่สุด แต่ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงปรากฏว่าได้มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลจนทำให้มีความเห็นว่าควรจะมีการแก้ไขด้วยซ้ำไป
นอกจากนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับส่วนอื่นๆอีกมาก ไม่เฉพาะรัฐบาลกับผู้ร่วมเจรจาแต่อย่างใด และไม่ต้องการแก้ไขในลักษณะเพื่อตัวเองหรือเพื่อการนิรโทษกรรม
อย่างไรก็ดี การที่บอกว่าจะสามารถเดินทางไปหาเสียงพื้นที่ใดก็ได้หรือการบอกว่าหากยุบสภาแล้วสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันเสื้อแดงหรือให้หยุดการเคลื่อนไหวได้ทันที มันจะเป็นอย่างนั้นหรือ
นายกฯยังระบุต้องการใช้เวลาสักนิดเพื่อแก้ไขปัญหาให้อารมณ์ ทางการเมืองของผู้คนดีขึ้น บรรยากาศทางการเมืองที่ดีขึ้น
จากนั้นก็พร้อมที่จะ "ยุบสภา"
และยืนยันว่าพร้อมที่จะรับฟังความเห็น แต่ต้องรับฟังเสียง จากประชาชนในส่วนอื่นๆด้วย เพราะอยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบทั้งหมดด้วย
เหนืออื่นใดการเจรจาครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรก ซึ่งคงจะต้องมีการพูดคุยกันอีกหลายครั้งเพื่อหาข้อสรุป เป็นการเริ่มต้นที่ดีและน่าจะหาทางออกต่อสังคมไทยได้
เพียงแต่ว่ามีความพยายามที่จะไม่พูดถึงตัวปัญหาจริงๆอีก ตัวหนึ่งเท่านั้น.
"สายล่อฟ้า"
การพบปะกันระหว่างรัฐบาล ซึ่งนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ และแกนนำเสื้อแดงนำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่สถาบันพระปกเกล้า
บรรยากาศดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี ต่างฝ่ายต่างก็ยกเหตุผลขึ้นมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าด้วยระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
ซึ่งฝ่ายเสื้อแดงยืนยันว่าวันนี้ประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตย เพราะผลพลวงมาจากการยึดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย. 49 ทำให้กลไกต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้ระบบนี้ ซึ่งเรียกว่าอำมาตยาธิปไตย
เสนอทางออกว่าควรจะ "ยุบสภา" คืนอำนาจให้ประชาชน
และรัฐธรรมนูญปี 50 คือปัญหาที่เป็นกลไกของการยึดอำนาจ
ทั้งนี้ ให้ทุกพรรคที่เสนอตัวให้ประชาชนเลือกตั้งว่าจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากการเลือกตั้งแล้วปรากฏพรรคที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญชนะเลือกตั้งเมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลก็แก้ไขรัฐธรรมนูญ หากพรรคที่ไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญชนะเลือกตั้งก็ไม่ต้องแก้ไข
ถือว่าเป็นประชามติของประชาชนและจะไม่มีการต่อต้าน เสื้อแดงจะหยุดเคลื่อนไหวและไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด
เพราะถือว่าเป็นอำนาจการตัดสินใจของปวงชนชาวไทย
ซึ่งฝ่ายรัฐบาลมีความเห็นว่าทุกฝ่ายต่างก็ต้องการให้ประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ และต้องการหาทางออกให้กับประเทศ
นายกฯให้ความเห็นว่าไม่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารแต่ อย่างใด แต่หากให้มีการยุบสภาแล้วจะแก้ปัญหาของประเทศได้จริงหรือ หากพรรคที่ไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญชนะเลือกตั้งและไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ
มันเป็นทางออกของประเทศจริงหรือ?
มันจะแก้ไขความขัดแย้งได้จริงหรือ?
ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งถือว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุดเมื่อประชาชนได้มีส่วนร่วมมากที่สุด แต่ในทางปฏิบัติที่เป็นจริงปรากฏว่าได้มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลจนทำให้มีความเห็นว่าควรจะมีการแก้ไขด้วยซ้ำไป
นอกจากนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับส่วนอื่นๆอีกมาก ไม่เฉพาะรัฐบาลกับผู้ร่วมเจรจาแต่อย่างใด และไม่ต้องการแก้ไขในลักษณะเพื่อตัวเองหรือเพื่อการนิรโทษกรรม
อย่างไรก็ดี การที่บอกว่าจะสามารถเดินทางไปหาเสียงพื้นที่ใดก็ได้หรือการบอกว่าหากยุบสภาแล้วสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันเสื้อแดงหรือให้หยุดการเคลื่อนไหวได้ทันที มันจะเป็นอย่างนั้นหรือ
นายกฯยังระบุต้องการใช้เวลาสักนิดเพื่อแก้ไขปัญหาให้อารมณ์ ทางการเมืองของผู้คนดีขึ้น บรรยากาศทางการเมืองที่ดีขึ้น
จากนั้นก็พร้อมที่จะ "ยุบสภา"
และยืนยันว่าพร้อมที่จะรับฟังความเห็น แต่ต้องรับฟังเสียง จากประชาชนในส่วนอื่นๆด้วย เพราะอยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบทั้งหมดด้วย
เหนืออื่นใดการเจรจาครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรก ซึ่งคงจะต้องมีการพูดคุยกันอีกหลายครั้งเพื่อหาข้อสรุป เป็นการเริ่มต้นที่ดีและน่าจะหาทางออกต่อสังคมไทยได้
เพียงแต่ว่ามีความพยายามที่จะไม่พูดถึงตัวปัญหาจริงๆอีก ตัวหนึ่งเท่านั้น.
"สายล่อฟ้า"