ก็ถือเป็นทางออกที่ดีเมื่อ วีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดง ประกาศจุดยืนล่าสุด 5 ข้อ เรียกร้องให้ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนทันที แล้วจะไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้อีก และยินดีที่จะเจรจากับผู้มีอำนาจเต็มทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจยุบสภา
เมื่อยุบสภาแล้ว ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องสลายตัวทันที เพื่อให้ประเทศชาติเข้าสู่ภาวะปกติและทุกฝ่ายต้องให้สัญญาประชาคมว่า จะเปิดให้พรรคการเมืองทุกพรรคเข้าหาเสียงได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีการขัดขวางกีดกั้น ให้การเลือกตั้งที่สุจริตยุติธรรมเป็นตัวตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง ทุกฝ่ายต้องยอมรับเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ฟังแล้วก็เป็นข้อเสนอที่ดีครับ ถ้าเป็นข้อเสนอที่เสนอด้วย "ความจริงใจ" ต้องการให้ความขัดแย้งในบ้านเมืองยุติ ไม่ใช่เป็น เล่ห์อุบายหลอกให้ยุบสภาแล้วเปลี่ยนเกมไปสร้างเงื่อนไขใหม่ เพื่อนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงกว่าเดิม ผมก็คิดว่าเป็นข้อเสนอที่น่าพิจารณา เพราะอายุรัฐบาลก็เหลืออีกปีกว่าเท่านั้น ถ้าจะยุบสภาเลือกตั้งก่อนครบเทอม แล้วแก้ปัญหาความขัดแย้งในชาติได้ ก็ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
แต่ปัญหาก็คือ จะให้ นายกฯอภิสิทธิ์ เชื่อได้อย่างไรว่าคำพูดของ วีระ มุสิกพงศ์ เชื่อถือได้ ไม่มีการเบี้ยวในภายหลัง เมื่อนายกฯยุบสภาแล้ว
ทางที่ดีที่สุดผมคิดว่าน่าจะเป็นการ "เจรจา" กันก่อน มีแต่นั่งโต๊ะเจรจากันด้วยความจริงใจเท่านั้น โดยเอาประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง จึงจะสามารถได้ข้อยุติที่ยอมรับกันได้ทุกฝ่าย ทำให้การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่เป็นไปได้อย่างราบรื่น เพื่อนำไปสู่การยุติความขัดแย้งในสังคมโดยสิ้นเชิง แล้วปล่อยให้กลไกประชาธิปไตยทำงาน
การนั่งโต๊ะเจรจาผมก็เห็นด้วยที่ให้ "เจรจาอย่างเปิดเผย" โดยมี "ตัวแทนสังคมทุกฝ่าย" ร่วมเป็นสักขีพยาน นอกจาก นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชา-ชีวะ กับ วีระ มุสิกพงศ์ แล้ว ก็ควรจะมี หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ แกนนำคนเสื้อแดงทุกกลุ่ม เข้าร่วมด้วย ให้มีการถ่ายทอดสดทางวิทยุโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนร่วมเป็นสักขีพยานอีกแรง เผื่อใครเบี้ยวภายหลังจะได้ช่วยกันประณามไม่ใช่ปิดห้องเจรจากันสองต่อสอง
ที่ต้องเสนออย่างนี้เพราะหลังจากที่ วีระ มุสิกพงศ์ แถลงเงื่อนไข 5 ข้อ เสร็จ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย และ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาแถลงว่า จะไปล็อบบี้พรรคร่วมรัฐบาลให้เปลี่ยนขั้ว หรือบีบให้นายกฯยุบสภา เหมือนแยกกันเดิน
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ถ้าไม่มีความจริงใจ ก็แก้ไม่ได้
เมื่อวานนี้ผมเพิ่งเล่าเรื่อง การเมืองในสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าสองพันปีทั้ง ระบบกษัตริย์ ระบบคอม-มิวนิสต์ จนถึง ระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ในปัจจุบัน แต่ความคิดทางการเมืองของคนเช็กก็ยังไม่ตกผลึก ยังแบ่งออกเป็น "กลางขวา" และ "กลางซ้าย" มีความคิดเห็นทางเศรษฐกิจการเมืองไม่เหมือนกัน แต่ "การศึกษา" ของเขาเจริญกว่าเรา "ความคิดต่างทางการเมือง" ของเขา จึงไม่นำไปสู่ "ความแตกแยกทางสังคม" อย่างในเมืองไทย แต่ไปแสดงออกในเวทีเลือกตั้ง
ผมเห็นด้วยกับท่าน ว.วชิรเมธี ว่า คนไทยปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเน้นที่ "ความเชื่อ" มากกว่า "ความรู้" คือเห็นอะไรมา ฟังอะไรมา ก็เชื่ออย่างนั้น โดยไม่มีการศึกษาข้อเท็จจริงว่าเป็นมาอย่างไร โดยเฉพาะสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน
ทางแก้นั้น ท่าน ว.วชิรเมธี บอกว่า ต้องไม่รับฟังสื่อช่องทางเดียว อาจมีความเอนเอียงได้ ต้องฟังหลายสื่อ และอ่านให้มากๆ ต้องเลิกเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้ทุกคนมองที่ประโยชน์ของชาติเป็นหลัก แล้วจะไม่เกิดความแตกแยกของคนไทยในสังคมไทยอย่างแน่นอน.
"ลม เปลี่ยนทิศ"
เมื่อยุบสภาแล้ว ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องสลายตัวทันที เพื่อให้ประเทศชาติเข้าสู่ภาวะปกติและทุกฝ่ายต้องให้สัญญาประชาคมว่า จะเปิดให้พรรคการเมืองทุกพรรคเข้าหาเสียงได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีการขัดขวางกีดกั้น ให้การเลือกตั้งที่สุจริตยุติธรรมเป็นตัวตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง ทุกฝ่ายต้องยอมรับเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
ฟังแล้วก็เป็นข้อเสนอที่ดีครับ ถ้าเป็นข้อเสนอที่เสนอด้วย "ความจริงใจ" ต้องการให้ความขัดแย้งในบ้านเมืองยุติ ไม่ใช่เป็น เล่ห์อุบายหลอกให้ยุบสภาแล้วเปลี่ยนเกมไปสร้างเงื่อนไขใหม่ เพื่อนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงกว่าเดิม ผมก็คิดว่าเป็นข้อเสนอที่น่าพิจารณา เพราะอายุรัฐบาลก็เหลืออีกปีกว่าเท่านั้น ถ้าจะยุบสภาเลือกตั้งก่อนครบเทอม แล้วแก้ปัญหาความขัดแย้งในชาติได้ ก็ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
แต่ปัญหาก็คือ จะให้ นายกฯอภิสิทธิ์ เชื่อได้อย่างไรว่าคำพูดของ วีระ มุสิกพงศ์ เชื่อถือได้ ไม่มีการเบี้ยวในภายหลัง เมื่อนายกฯยุบสภาแล้ว
ทางที่ดีที่สุดผมคิดว่าน่าจะเป็นการ "เจรจา" กันก่อน มีแต่นั่งโต๊ะเจรจากันด้วยความจริงใจเท่านั้น โดยเอาประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง จึงจะสามารถได้ข้อยุติที่ยอมรับกันได้ทุกฝ่าย ทำให้การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่เป็นไปได้อย่างราบรื่น เพื่อนำไปสู่การยุติความขัดแย้งในสังคมโดยสิ้นเชิง แล้วปล่อยให้กลไกประชาธิปไตยทำงาน
การนั่งโต๊ะเจรจาผมก็เห็นด้วยที่ให้ "เจรจาอย่างเปิดเผย" โดยมี "ตัวแทนสังคมทุกฝ่าย" ร่วมเป็นสักขีพยาน นอกจาก นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชา-ชีวะ กับ วีระ มุสิกพงศ์ แล้ว ก็ควรจะมี หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ แกนนำคนเสื้อแดงทุกกลุ่ม เข้าร่วมด้วย ให้มีการถ่ายทอดสดทางวิทยุโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนร่วมเป็นสักขีพยานอีกแรง เผื่อใครเบี้ยวภายหลังจะได้ช่วยกันประณามไม่ใช่ปิดห้องเจรจากันสองต่อสอง
ที่ต้องเสนออย่างนี้เพราะหลังจากที่ วีระ มุสิกพงศ์ แถลงเงื่อนไข 5 ข้อ เสร็จ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย และ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาแถลงว่า จะไปล็อบบี้พรรคร่วมรัฐบาลให้เปลี่ยนขั้ว หรือบีบให้นายกฯยุบสภา เหมือนแยกกันเดิน
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง ถ้าไม่มีความจริงใจ ก็แก้ไม่ได้
เมื่อวานนี้ผมเพิ่งเล่าเรื่อง การเมืองในสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่าสองพันปีทั้ง ระบบกษัตริย์ ระบบคอม-มิวนิสต์ จนถึง ระบอบประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ในปัจจุบัน แต่ความคิดทางการเมืองของคนเช็กก็ยังไม่ตกผลึก ยังแบ่งออกเป็น "กลางขวา" และ "กลางซ้าย" มีความคิดเห็นทางเศรษฐกิจการเมืองไม่เหมือนกัน แต่ "การศึกษา" ของเขาเจริญกว่าเรา "ความคิดต่างทางการเมือง" ของเขา จึงไม่นำไปสู่ "ความแตกแยกทางสังคม" อย่างในเมืองไทย แต่ไปแสดงออกในเวทีเลือกตั้ง
ผมเห็นด้วยกับท่าน ว.วชิรเมธี ว่า คนไทยปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเน้นที่ "ความเชื่อ" มากกว่า "ความรู้" คือเห็นอะไรมา ฟังอะไรมา ก็เชื่ออย่างนั้น โดยไม่มีการศึกษาข้อเท็จจริงว่าเป็นมาอย่างไร โดยเฉพาะสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน
ทางแก้นั้น ท่าน ว.วชิรเมธี บอกว่า ต้องไม่รับฟังสื่อช่องทางเดียว อาจมีความเอนเอียงได้ ต้องฟังหลายสื่อ และอ่านให้มากๆ ต้องเลิกเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้ทุกคนมองที่ประโยชน์ของชาติเป็นหลัก แล้วจะไม่เกิดความแตกแยกของคนไทยในสังคมไทยอย่างแน่นอน.
"ลม เปลี่ยนทิศ"