บทความโดย..ลูกชาวนาไทย
คือหลายคนวิตกกังวลว่ารัฐบาลจะสร้างสถานการณ์เพื่อใส่ร้ายคนเสื้อแดง เนื่องจากรัฐบาลคุมสื่อหมดแล้ว
ประเด็นเหล่านี้ผมไม่ค่อยวิตกกังวลสักเท่าใด เพราะรัฐบาลและอำมาตย์ก็ใส่ร้ายคนเสื้อแดง ใช้สื่อบิดเบือนมากว่า 3 ปีแล้ว ผลก็คือ คนเสื้อแดงจากที่ไม่มีเลยเมื่อสามปีก่อน มีเพิ่มขึ้นจนเต็มแผ่นดินไปหมดแล้ว ดังนั้น หากวัดประสิทธิผลของสื่อกระแสหลัก ฟันธงได้เลยว่า "ไร้ค่าและไร้ความหมาย"
คนเสื้อแดงเติบโตในช่วงสามปีนี้ ภายใต้สถานการณ์ การปิดล้อมทางสื่อ การบิดเบือนข้อมูล การใส่ร้ายป้ายสี การสร้างสถานการณ์ การระดมนักวิชาการต่างๆ มาชักจูงชี้นำ ตั้งแต่อธิการบดี ราษฎรอาวุโส องคมนตรี ข้าราชการใหญ่ๆ ทั้งหลาย เรียกว่า ระดมมาหมดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ แต่ผลก็คือ "คนเสื้อแดงเติบโตในอัตราแบบโปแนลเชียล" หากเป็นการรักษาโรค บอกได้เลยว่า "ยาที่อำมาตย์ให้ทั้งหลาย" เป็นยาที่ไปส่งเสริมให้เชื้อโรคขยายตัวขึ้น เพิ่มปริมาณมากขึ้น
เมื่อดูผลของการบิดเบือน การใส่ร้าย การปิดล้อมทางสื่อ การใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้ง การใช้กำลังทหารเข้าปราบ การใช้ กอ.รมน. และปฎิบัติการ ปจว.ต่างๆ แล้วเราจะไปกลัวทำไม กับมาตรการต่างๆ ของอำมาตย์ เพราะมันทำให้คนเสื้อแดง "เติบโตขึ้น" หาได้ลดน้อยลงไปไม่
มาตรการเหล่านี้ ไร้ผล ไร้ค่า และไร้ราคา โดยสิ้นเชิง ยิ่งปราบยิ่งโต ยิ่งตียิ่งขยายตัว
ตอนนี้การเมืองไทยเข้าสู่ระบบที่นักวิชาการตะวันตกทั้งหลายเรียกว่า "การเมืองระบบขั้ว" หรือ Political Polarization ผลของสถาพการเมืองในรูปแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ฝ่ายเป็นกลางมีอิทธิผลน้อยลง อำนาจรัฐด้อยอิทธิผลลงไป สื่อต่างๆ ที่อยู่ขั้วตรงกันข้ามทางการเมือง จะมีผลต่อประชาชนในขั้วตรงกันข้ามน้อยมาก เพราะประชาชน จะเลือกรับข้อมูลข่าวสาร ความคิด อุดมการณ์ต่างๆ จากขั้วของตนเท่านั้น สื่อกระแสหลัก จะเสื่อมอิทธิพลลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างที่ชัดเจนในสังคมไทยคือ กรณีคนภาคใต้ที่เลือกขั้วประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะดี เลว หรือทำผิดพลาดอะไร คนใต้เหล่านี้ก็ไม่เปลี่ยนขั้ว ไม่สนใจข่าวสารอื่นๆ เกี่ยวกับความไม่ดีของพรรคประชาธิปัตย์ อิทธิพลความคิดของฝ่ายเป็นกลาง และขั้วอื่นๆ มีผลต่อการตัดสินใจของคนภาคใต้น้อยมาก
กรณี "ขบวนการคนเสื้อแดง" ก็เหมือนกัน เพิ่งฟอร์มตัวเป็น "ขั้วทางการเมืองที่มั่นคงเข็มแข็ง" เทียบเท่ากับ "ขั้วของคนใต้" เมื่อสองสามปี ในช่วงวิกฤติการณ์ทางการเมืองนี้เอง และผลของการปิดล้อมทางสื่อ และการบิดเบือนใส่ร้ายของสื่อกระแสหลัก ที่ทำตัวเป็น "ขั้วตรงข้ามกับคนเสื้อแดง" ส่งผลให้เกิดสื่อของคนเสื้อแดง และสื่อกระแสรองขึ้น ซึ่งในที่สุดคนเสื้อแดง ก็เลิกรับความคิด จากสื่อกระแสหลักไปโดยสิ้นเชิง
นับได้ว่าทุกวันนี้ สื่อกระแสหลัก เป็นเสื่อที่มีอิทธิพลทางการเมืองน้อยมาก อาจมีอยู่บ้างกับพวกที่เป็น "ขั้วที่สาม" คือ พวกที่ไม่เอาทั้งแดงทั้งเหลือง ซี่งเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคมระบบขั้วตอนนี้ ไม่มีอิทธิพลทางความคิดต่อคนทั้งสองขั้วมากนัก
เราเห็นอิทธิพลของสื่อ และผลจากการสร้างสถานการณ์และการป้ายสีคนเสื้อแดงที่มีผลน้อยชัดเจน ในกรณี "สงกรานต์เลือด" ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติ ก่อนปี 2549 ผมคิดว่าป่านนี้อำมาตย์ชนะราบคาบไปแล้ว แต่เพราะประชาชนได้ "แบ่งขั้ว" ไปเรียบร้อยแล้ว การใส่ร้าย ปราบ การสร้างสถานการณ์จึงมีผลน้อยมาก
การเมืองระบบขั้ว จะนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมือง
อันนี้เป็นผลเสียของการแบ่งขั้ว แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ยากที่จะกลับไปแบบไร้ขั้วได้อีกต่อไป ยิ่งการต่อสู้ทางการเมืองเข็มข้นขึ้น "ความอดกลั้น" ของคนในแต่ละขั้วและแต่ละสีจะน้อยลงไปเรื่อยๆ
ความแตกแยกความคิดสองขั้วที่เราเห็นชัดเจนในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติของคนในประเทศเดียวกันคือ สงครามกลางเมืองอเมริกัน ที่ขัดแย้งกันในประเด็นเรื่องทาส (ที่จริงฝ่ายใต้เขาสู้เพื่อรักษาสิทธิในการ กำหนดใจตนเอง เรื่องทาสเป็นประเด็น แต่อุดมการณ์ที่สนับสนุนคือ เรื่องการกำหนดใจตัวเอง) ผลของการแตกแยกคือ สงครามที่มีคนตายกว่า500,000 คน (คิดเป็น 8% ของประชากร)
การเมืองไทยตอนนี้แบ่งขั้วชัดเจนและไม่มีทางกลับไปสู้ระบบที่ไร้ขั้วได้อีกแล้ว การใช้กำลังและความรุนแรงเข้าปราบ จะนำไปสู่สงครามกลางเมือง และไม่สิ้นสุด และสุดท้ายก็จะเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง อาจถอนรากถอนโคน
วิธีแก้ไขการเมืองระบบขั้ว ไม่ใช่การมุ่งสลายขั้ว (ซึ่งไม่มีทางทำได้แน่นอน ไม่ว่าจะคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ขนาดไหน) แต่ต้องมุ่งสร้าง "กติกา" ที่เป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย และให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับ อย่างเต็มใจ (ไม่ใช่บังคับ ซึ่งบังคับก็ไม่ได้อยู่ดี) ก็เหมือนฟุตบอล คือ กติกาต้องเป็นธรรม
วันนี้ ยังไม่ถึงจุดนั้น ดังนั้นการต่อสู้จะยังคงดำเนินต่อไป ฝ่ายเป็นกลาง จะโดนเขี่ยออกไปจากเวทีทางการเมือง
ผมฟันธงได้เลยว่า "สถาบันต่างๆ จะมีผลต่อการชี้นำ" ทางการเมืองลดลง และจะเสื่อมอิทธิพลลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะสถาบันที่เราไม่กล้าพูดถึง
วันนี้ไม่ใช่วันที่ประเทศไทยจะพูดถึง “ความสามัคคีและความสมานฉันทน์” แต่ต้องพูดถึง “กติกาที่เป็นธรรม”
ไม่อย่างนั้นเมืองไทย ก็ไม่มีวันสงบไปได้
ก็เหมือนกับที่ผมได้ยินเด็กนักศึกษากล่าวว่า “การเมืองต้องแปลงจากเด็กช่างกลตีกัน ไปเป็นกีฬาสี” คือ มีกติกา และกฎเกณฑ์ ไม่ใช่มุ่งให้เด็กมาปรองดองกัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้
หากยังคิดว่า จะปราบคนเสื้อแดงให้สิ้นซาก ผมฟันธงอีกว่า จะสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินแทน ก่อนคนเสื้อแดงจะสิ้นซาก
อยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร เจิดหล้า
บุญเพรงพระหากสรรค์ ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ
บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง