บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

"อ๋อย" ป้อง "นายแม้ว" ยันทรัพย์ที่ยึดไม่ได้ทำผิดกฎหมาย "อจ.มธ." ชี้ถ้าปล่อยไปก็เข้าข่ายมือใครยาวสาวได้สาวเอา

ที่มา มติชน
"จาตุรนต์" ยันทรัพย์ที่ยึดจาก "แม้ว" ไม่ได้มาจากการทำผิดกฎหมาย แค่เอื้อประโยชน์ ยันเป็นของ "ลูก-น้อง" ทั้งสิ้น ด้าน อจ.ประจำนิติฯ มธ.ยันถ้าปล่อยไปก็เข้าข่ายมือใครยาวสาวได้สาวเอา ชี้เป็นการแสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง ถือเป็นลาภไม่ควรได้

สมาคมนักข่าวฯ จัดราชดำเนินเสวนา เรื่อง "สังคมไทยเรียนรู้อะไรจากคดียึดทรัพย์" ? เมื่อวันที่ 7 มีนาคม โดย ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มีคำวิจารณ์หลากหลายหลังคดียึดทรัพย์ที่มีความเคลื่อนคลาด เช่น กรณีที่วิจารณ์ว่าอย่าใช้รัฐประหารแก้คอร์รัปชั่น เพราะไม่เช่นนั้นจะทำลายกระบวนการยุติธรรมของศาลทั้งหมด ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจริงๆ แล้วจะต้องพิจารณาแยกเป็น 2 ประเด็น ระหว่างคดียึดทรัพย์ กับ คดีอาญา

"การแก้คอรัปชั่นนั้น จริงๆ แล้วจะมีกระบวนการยุติธรรมที่ตั้งอยู่ได้ด้วยอำนาจในตัวเอง และกรณีการยึดทรัพย์เอกชนนั้น ความจริงเป็นการยึดเพียงบางส่วน ซึ่งเป็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการดำรงตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองในช่วงเวลานั้น เป็นการแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง ถือเป็นลาภที่ไม่ควรได้"


ดร.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า คดี 7.6 หมื่นล้าน ไม่ใช่การยึดทรัพย์เอกชน แต่เป็นการเรียกคืนทรัพย์ที่ได้จากการปกครองแผ่นดิน ที่เอาไปจากสมัยนั่งทำงานทางการเมือง ซึ่งกฎหมายบอกว่าเมื่อใดนักการเมืองไม่ทำประโยชน์เพื่อแผ่นดินแล้ว เมื่อนั้นประชาชนไม่เชื่อถือ เขามีหน้าที่ทำการเพื่อประโยชน์แก่แผ่นดิน เพื่อปวงชน ถ้าปล่อยให้ทำผิดก็เข้าสู่มือใครยาวสาวได้สาวเอา เพราะฉะนั้นการวินิจฉัยนี้ไม่ได้เป็นการลงโทษทางอาญา แต่เป็นกฎหมายที่เรียกคืนจากลาภที่ไม่ควรได้ ซึ่งเป็นกลักการกฏหมายทางแพ่งที่เอาประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดิน ซึ่งในกรณีคุณทักษิณถือว่าเป็นกฏแห่งกรรม


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีข้อสังเกตหลายประการในคดียึดทรัพย์ที่ต้องตั้งคำถาม ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศก่อนมีคำพิพากษา เต็มเป็นด้วยการกดดันศาล ชี้นำสังคมอย่างเอิกเกริก ให้สังคมตัดสินไปก่อน ขณะที่สื่อของรัฐหรือสื่อกระแส มีความเห็นไปทางใดทางหนึ่ง โหมประโคมข่าวเพื่อให้ยึดทรัพย์

อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวด้วยว่า ขณะที่เนื้อหาจากคำพิพากษา มีคำถามในหลายประเด็น อาทิ หากมองจากมุมคุณทักษิณหรือลูกและน้องของคุณทักษิณ จะพบปัญหาสำคัญโดยที่รัฐธรรมนูญของประเทศไทยเป็นเอกเทศ คุ้มครองกรรมสิทธิ์เอกชนว่า บรรทัดฐานเกี่ยวกับเหตุที่จะยึดทรัพย์ของเอกชนมาเป็นของรัฐคืออย่างไร การที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองกรรมสิทธิ์เอกชน โดยมองจากลูกและน้องคุณทักษิณ ทรัพย์สินนี้ เมื่อไหร่จึงถือว่าเป็นของคนอื่น เมื่อไหร่จะถือว่าพึงยึดได้โดยรัฐ


"นี่เป็นเรื่องหลักการใหญ่ของประเทศเสรีและประเทศที่มีรัฐธรรมนูญคุ้มครองกรรมสิทธิ์เอกชน เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การรับโอนหุ้นมา การมีหุ้น การซื้อขายหุ้นให้เทมาเส็ก การทำนิติกรรมสัญญา หรือนิติกรรมทั้งหลาย หุ้นและทรัพย์สินนี้เป็นของลูกและน้อง ไม่ใช่ของพ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งเมื่อขายแล้วได้เป็นเงินก็เป็นของลูกและน้องตามกฏหมายทั้งหมด คำถามคือ ระบบตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยและระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยมีภูมิคุ้มกันให้แก่กรรมสิทธิ์เอกชนของผู้ที่เข้ามาอยู่ในระบบนี้มากน้อยแค่ไหน" นายจาตุรนต์ กล่าว และว่า คดีนี้ได้มีการลงโทษโดยการยึดทรัพย์ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดกฏหมายใดๆ แต่อาศัยเหตุว่าเอื้อประโยชน์ทำให้รัฐเสียหาย แต่ไม่มีว่าขัดกฏหมายข้อไหน อย่างไร


อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวต่อว่า ยกตัวอย่างนี้เพื่อเปรียบเทียบกับคดีหวยบนดิน ซึ่งพิพากษาว่า คณะรัฐมนตรีที่ออกมติไปไม่มีอำนาจตามกฏหมาย เอาเงินไปใช้ก็ไม่มีอำนาจตามกฏหมาย แต่ในคดีนี้ การออกมติต่างๆ ทั้งหมด รวมทั้งการออกกฏหมาย ไม่มีเรื่องใดที่ผิดกฏหมาย แต่นำไปสู่การยึดทรัพย์ที่สรุปว่า มีการเอื้อประโยชน์และได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ที่เราจัดการกับผู้ที่เห็นว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่ในทางเอื้อประโยชน์ โดยผู้ที่ถูกกล่าวหา ไม่ปรากฏว่ามีการทำผิดกฏหมายใด


"นอกจากนี้ คดีนี้ ยังมีผลกระทบต่อหลักการแยกอำนาจ คือ ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องทำผิดกฏหมาย แต่ศาลพิจารณาประเด็นเชิงนโยบาย คือ การดำเนินการมาตรการนั้นส่วนใหญ่ ซึ่งศาลพิจารณาว่า มาตรการเหล่านี้ดีหรือไม่ดีอย่างไรกับบ้านเมือง แต่การเห็นด้วยว่าดีหรือไม่ดีกับบ้านเมืองนั้น ในความเห็นผมคือ เป็นประเด็นทางนโยบายที่เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และตรวจสอบได้โดยองค์กรต่างๆ และ รัฐบาล ในหลักการแบ่งแยกอำนาจ ศาลจึงไม่น่าจะมีขอบเขตอำนาจที่จะพิจารณาเรื่องผลดีหรือเสียต่อบ้านเมือง เพราะเป็นปัญหาเชิงนโยบาย ศาลพึงพิจารณาในเรื่องว่า ได้กระทำผิดกฏหมายหรือไม่ นี่คือหลักการแยกอำนาจ ที่ศาลได้ทำหน้าที่ข้ามมาในส่วนที่เป็นปัญหาเชิงนโยบาย ที่จะต้องตรวจสอบโดยรัฐสภาและประชาชน" นายจาตุรนต์ กล่าว


นายจาตุรนต์ ยังกล่าวว่า นอกจากนี้ การใช้ดุลพินิจในหลักการแบ่งแยกอำนาจยังกระทบ ก็คือ การที่ฝ่ายตุลาการได้ใช้ดุลพินิจในทางที่ตรงข้ามหรือคัดค้านการออกกฏหมายอของรัฐสภา ซึ่งเป็นเรื่องกระทบหลักการแยกอำนาจอย่างมาก เช่น กรณีภาษีสรรพสามิต ไม่ใช่แค่ไม่ผิดกฏหมาย แต่เป็นการออกกฏหมายโดยรัฐสภา ซึ่งการออกกฏหมาย ธรรมดาแล้วจะมีข้อหาเรื่องขัดต่อกฏหมายอื่นไม่ได้ เพราะว่าการออกกฏหมายใหม่ก็หักล้างกฏหมายเก่า ศาลไม่ได้บอกว่าขัดกฏหมาย แต่บอกว่าออกกฏหมายนี้ไม่ชอบ ไม่ชอบด้วยอะไร ไม่ชอบด้วยกฏหมายไม่ได้ แต่ว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะการออกกฏหมาย ย่อมสามารถหักล้างกฏหมาย นี่คืออำนาจอธิปไตยของฝ่ายนิติบัญญัติ


"มาตรการในเรื่องภาษีสรรพสามิต เป็นการออกกฏหมายโดยตัวมันเองไม่สามารถพิจารณาว่า ขัดต่อกฏหมายหรือไม่ ประเด็นจึงอยู่ที่ การออกกฏหมายสรรพสามิตนี้กับมาตรการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยง คือการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ การนำเอาภาษีสรรพสามิตไปหักจากรายได้จากสัมปทานเป็นการกระทำที่ชอบหรือไม่ เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ศาลอื่น ศาลอื่นวินิจฉัยว่า กฏหมายออกมาขัดต่อกฏหมายไม่ได้ ฉะนั้น ก็เป็นหน้าที่ของศาสรัฐธรรมนูญที่ต้องวินิจฉัยว่าการออกกฏหมายสรรพสามิตชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ประเด็นนี้นอกจากกระทบหลักการแยกอำนาจแล้ว ที่เป็นปัญหาต่อไปคือ ผลกระทบต่อความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญ กระทบก็คือกรณีมีการทำให้เกิดผลเสียต่อผู้บริโภค ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ ทำให้เกิดการแทรกแซงองค์กรอิสระอย่าง กทช. ซึ่งประเด็นนี้ ได้มีสมาชิกรัฐสภาทั้งส.ส. ฝ่ายค้านและส.ว. ได้ยื่นคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นเหล่านี้แล้วทั้งสิ้น ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วทุกประเด็น และวินิจฉัยหักล้างต่อคำคัดค้านโดยสรุปเห็นว่า ไม่ได้ทำให้รัฐเสียประโยชน์ และมาตรการก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนเสียหายเดือดร้อน ไม่มีการเอื้อประโยชน์" อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยกล่าว

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้อย่างนี้แล้ว จึงมีประเด็นต่อไปว่า ในรัฐธรรมนูญทั้งปี 2540 และ 2550 บอกว่า กรณีที่มีเรื่องไปขึ้นศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ให้เป็นที่สุด และให้มีผลผูกพันต่อองค์กรอื่นรวมทั้งศาล ปัญหาก็คือ เรื่องนี้คตส. นำมากล่าวหา และเรื่องไปอยู่ที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในประเด็นเดียวกันกับที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้แล้ว แต่ปรากฏว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยอีกในทางตรงกันข้ามกับศาลรัฐธรรมนูญ

"ปัญหาจึงมีว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยไปแล้ว เหตุใดจึงไม่ผูกพันธ์ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือ เหตุใด ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่ถือว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันต่อศาล นี่จึงเกิดการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญขึ้นหรือไม่" อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าว

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker