นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
"ณัฐวุฒิ" แฉเงื่อนงำมูลนิธิรัฐบุรุษ ฮุบที่นส.3 ไปขายแสวงหากำไร จี้แจงข้อเท็จจริง ประโยชน์ตกมือใคร สงสัยงัดคลังอาวุธมาใช้สร้างสถานการณ์...
เมื่อเวลา 11.45 น. 7 มี.ค. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. แถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทย กรณีตรวจพบความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินการของมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ว่า จากการตรวจสอบการดำเนินการของมูลนิธิ ไม่น่าจะใช่การทำตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ที่ทำเพื่อสาธารณประโยชน์และการกุศล
มูลนิธินี้แม้จะมีการจดทะเบียน แต่เป็นการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจากมูลนิธิส่งเสริมวัฒนธรรมไทยในปี 2538 โดยคณะบุคคลได้ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนเป็นมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม มีกรรมการรุ่นบุกเบิก 19 คน มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ สมาชิกหลายคนแป็นคนใกล้ชิด ทั้งทหารลูกป๋า กลุ่มทุนคณะ 11 แต่ตัวละครสำคัญคือกรรมการหนึ่งในนั้นที่ชื่อว่าพล.อ.นพ พิณสายแก้ว คนใกล้ชิดพล.อ.เปรม และมีสถานะเป็นที่ปรึกษาบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ซึ่งเป็นโซ่ข้อกลาง เชื่อมการดำเนินธุรกรรมระหว่างบริษัทดังกล่าวกับ พล.อ.เปรม และมูลนิธิรัฐบุรุษ
โดยในปี 2543 ทางมูลนิธิได้รับการบริจาคที่ดินจากบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ของนางกัลยาณี พรรณเชษฐ์ ที่ต.โนนหมากเค็ง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว จำนวน 1,550 ไร่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็น นส.3 ทางมูลนิธิอ้างว่าจะนำไปทำโครงการสาธิตสวนยางพารา นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ต่อมาได้มีการร้องขอให้สำนักงานที่ดินจ.สระแก้วออกโฉนดจนเต็มพื้นที่ สิ่งที่เป็นปมน่าสงสัยคือ วันที่ 23 มิ.ย.49 มูลนิธิได้มอบหมายให้พ.อ.สงคราม ทองสง่า ขายที่ดิน 3 แปลงตามโฉนดเลขที่ 9450, 10005 และ 15266 ให้กับนายอภิเชษฐ พิณสายแก้ว ซึ่งเป็นบุตรชายของพล.อ.นพ ถ้าเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าที่ดินแปลงนี้เป็นแปลงเดียวกับที่บริษัท เอ็มเอ็มซี บริจาคให้ ถามว่านำที่ดินไปขายได้อย่างไร และขายให้กับคนกันเอง ทั้งที่วัตถุประสงค์ 7 ข้อของมูลนิธิ ไม่ปรากฏว่าให้ขายที่ดินนำกำไรให้มูลนิธิ ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ และถ้ามีการแก้ไขข้อบังคับจะต้องมีกรรมการ 2 ใน 3 ลงมติ แต่จากการตรวจสอบไม่พบ เท่ากับการทำธุรกรรมขัดวัตถุประสงค์ ถือเป็นประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นสังคมต้องได้คำตอบว่า ที่ผ่านมามูลนิธิได้นำของบริจาคให้ใครบ้าง และขายให้คนกันเองหรือไม่
จากการตรวจสอบยังพบข้อเท็จจริงที่ซ่อนอยู่ว่า ที่ดินที่พล.อ.นพซื้อ เป็นที่ดินซึ่งประชาชนถือนส.3 อยู่ด้วย เท่ากับมูลนิธิออกโฉนดทับที่ดินนส.3 เรื่องนี้มีประชาชนร้องเรียน และมีภาพถ่ายทางอากาศยืนยันชัดเจน ประเด็นที่น่าสนใจอีกคือ วันที่ได้โฉนดเป็นวันเดียวกับวันที่ขาย พอซื้อปุ๊บก็มีการปลูกยางพารา พล.อ.นพยังสร้างบ้านหลังใหญ่ไว้ด้วย ทั้งนี้โฉนดที่ออกมาระบุเป็นพื้นที่หมู่ 7 (11) ซึ่งไม่เคยพบเคยเห็น แต่ข้อเท็จจริงแล้วเป็นพื้นที่หมู่ 7 แต่เอกสารนส.3 อยู่ที่หมู่ 11
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เรื่องนี้มันเชื่อมโยงไปถึงการขายบ้านของพล.อ.เปรม ที่ท่าแร้ง เขตบางเขน ซึ่งพล.อ.นพเป็นคนซื้อ แต่คนที่จ่ายเงินเป็นกลุ่มคนยักษ์ใหญ่ เชื่อว่ากรณีนี้มันเชื่อมโยงไปยังที่ดินวัฒนานครว่าคนที่ซื้อตัวจริงไม่ใช่พล.อ.นพ เป็นเพียงนอมินีในแง่ของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 110 (2) ห้ามมูลนิธิหาประโยชน์เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หลักการที่กล่าวมาข้างต้นเท่ากับขัดต่อกฎหมาย ตนต้องการคำอธิบายจากพล.อ.เปรม และมูลนิธิว่า สิ่งที่ตนพูดมาว่าเป็นจริงหรือไม่ และพร้อมรับผิดชอบสิ่งที่พูดทั้งหมด การอ้างว่าไปทำสวนยางสาธิต ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับใครกันแน่ ตนสงสัยว่าพล.อ.เปรมจะเป็นเจ้าของสวนยางหรือไม่ โดยพล.อ.นพเป็นคนดูแลสวนยางให้ สาเหตุที่ตนต้องพูด เพราะเรื่องนี้อธิบายได้ว่าอำมาตย์ทำอะไรก็ได้ในสังคมนี้ เป็นการตอกย้ำกฎหมาย 2 มาตรฐาน เร็วๆ นี้ตนจะเปิดปมคนในเครือข่ายอำมาตย์ไปยึดที่ดินชาวบ้านที่หัวหิน เป็นเรื่องฟ้องร้องในศาล และศาลรับแล้วว่าจริง แต่ยังไม่มีการดำเนินการอะไรกับผู้ยิ่งใหญ่
“ขอถามพล.อ.เปรม จะเอาเงินไปไว้ไหน เพราะไม่มีครอบครัว ครองโสดมายาวนาน บ้านก็ไม่ต้องซื้อ น้ำไฟก็ไม่ต้องจ่าย หรือจะอธิบายว่าการเป็นที่ปรึกษากลุ่มทุนไม่ได้รับรายได้ ทราบว่าค่าใช้จ่ายบ้านที่โคราชก็เป็นหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งหมด”
นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาล โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ประกาศจะใช้กฎหมายจราจรจัดการรถอีแต๋น กันไม่ให้ออกจากพื้นที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 14 มี.ค.ว่า ขอยืนยันว่า ประชาชนจำนวนมากที่จะเข้ามา ส่วนใหญเป็นเกษตรกร ซึ่งจะต้องเดินทางโดยรถอีแต๋นแน่นอน การเคลื่อนขบวนจะยึดหลักสงบ ป้องกันผลกระทบการจราจรมากที่สุด กทม.เป็นเมืองหลวงของคนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะชนชั้นสูง เมื่อคนยากจนอยากจะนำพาหนะคู่ชีพมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ถึงสกัดอย่างไรก็จะมา ขอยืนยันว่าจะไม่มีการปิดถนน ถ้ารัฐเป็นห่วงมาก ก็ให้ยุบสภาก่อนวันที่ 12 มี.ค. พวกตนจะได้ไม่เข้ามาชุมนุมที่กทม.
ส่วนกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำเอกสารที่อ้างว่าเป็นของหน่วยงานความมั่นคง ระบุว่าเป็นแผนลับนปช.เผด็จศึกรัฐบาลนั้น ขอบอกว่าเป็นการสรุปข่าว ไม่ใช่ความความลับอะไรเลย เป็นการนำข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มาปะติดปะต่อ บางอย่างก็ประเมินเอง ซึ่งผิดหลายอย่าง ถ้าเป็นการข่าวของจริง ต้องมีลักษณะเหมือนที่ตนออกมาเปิดเผยเรื่องคลังแสงที่จ.พัทลุง และก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งต้องถามว่า รัฐบาลปิดข่าวทำไม อาวุธระเบิดเอ็ม 67 ที่หายไปก็เป็นชนิดเดียวกับที่คนร้ายใช้ขว้างธนาคารกรุงเทพ โดยที่แม่ทัพนายกองไม่มีคำอธิบายกรณีนี้เลย จึงตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นการนำมาสร้างสถานการณ์ ทำลายคนเสื้อแดงหรือไม่ รัฐบาลต้องอธิบายให้ชัดเจน
"ณัฐวุฒิ" แฉเงื่อนงำมูลนิธิรัฐบุรุษ ฮุบที่นส.3 ไปขายแสวงหากำไร จี้แจงข้อเท็จจริง ประโยชน์ตกมือใคร สงสัยงัดคลังอาวุธมาใช้สร้างสถานการณ์...
เมื่อเวลา 11.45 น. 7 มี.ค. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. แถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทย กรณีตรวจพบความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินการของมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ว่า จากการตรวจสอบการดำเนินการของมูลนิธิ ไม่น่าจะใช่การทำตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ที่ทำเพื่อสาธารณประโยชน์และการกุศล
มูลนิธินี้แม้จะมีการจดทะเบียน แต่เป็นการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจากมูลนิธิส่งเสริมวัฒนธรรมไทยในปี 2538 โดยคณะบุคคลได้ยื่นเรื่องขอเปลี่ยนเป็นมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม มีกรรมการรุ่นบุกเบิก 19 คน มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ สมาชิกหลายคนแป็นคนใกล้ชิด ทั้งทหารลูกป๋า กลุ่มทุนคณะ 11 แต่ตัวละครสำคัญคือกรรมการหนึ่งในนั้นที่ชื่อว่าพล.อ.นพ พิณสายแก้ว คนใกล้ชิดพล.อ.เปรม และมีสถานะเป็นที่ปรึกษาบริษัทไทยเบฟเวอเรจ ซึ่งเป็นโซ่ข้อกลาง เชื่อมการดำเนินธุรกรรมระหว่างบริษัทดังกล่าวกับ พล.อ.เปรม และมูลนิธิรัฐบุรุษ
โดยในปี 2543 ทางมูลนิธิได้รับการบริจาคที่ดินจากบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ของนางกัลยาณี พรรณเชษฐ์ ที่ต.โนนหมากเค็ง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว จำนวน 1,550 ไร่ ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็น นส.3 ทางมูลนิธิอ้างว่าจะนำไปทำโครงการสาธิตสวนยางพารา นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ต่อมาได้มีการร้องขอให้สำนักงานที่ดินจ.สระแก้วออกโฉนดจนเต็มพื้นที่ สิ่งที่เป็นปมน่าสงสัยคือ วันที่ 23 มิ.ย.49 มูลนิธิได้มอบหมายให้พ.อ.สงคราม ทองสง่า ขายที่ดิน 3 แปลงตามโฉนดเลขที่ 9450, 10005 และ 15266 ให้กับนายอภิเชษฐ พิณสายแก้ว ซึ่งเป็นบุตรชายของพล.อ.นพ ถ้าเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าที่ดินแปลงนี้เป็นแปลงเดียวกับที่บริษัท เอ็มเอ็มซี บริจาคให้ ถามว่านำที่ดินไปขายได้อย่างไร และขายให้กับคนกันเอง ทั้งที่วัตถุประสงค์ 7 ข้อของมูลนิธิ ไม่ปรากฏว่าให้ขายที่ดินนำกำไรให้มูลนิธิ ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ และถ้ามีการแก้ไขข้อบังคับจะต้องมีกรรมการ 2 ใน 3 ลงมติ แต่จากการตรวจสอบไม่พบ เท่ากับการทำธุรกรรมขัดวัตถุประสงค์ ถือเป็นประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นสังคมต้องได้คำตอบว่า ที่ผ่านมามูลนิธิได้นำของบริจาคให้ใครบ้าง และขายให้คนกันเองหรือไม่
จากการตรวจสอบยังพบข้อเท็จจริงที่ซ่อนอยู่ว่า ที่ดินที่พล.อ.นพซื้อ เป็นที่ดินซึ่งประชาชนถือนส.3 อยู่ด้วย เท่ากับมูลนิธิออกโฉนดทับที่ดินนส.3 เรื่องนี้มีประชาชนร้องเรียน และมีภาพถ่ายทางอากาศยืนยันชัดเจน ประเด็นที่น่าสนใจอีกคือ วันที่ได้โฉนดเป็นวันเดียวกับวันที่ขาย พอซื้อปุ๊บก็มีการปลูกยางพารา พล.อ.นพยังสร้างบ้านหลังใหญ่ไว้ด้วย ทั้งนี้โฉนดที่ออกมาระบุเป็นพื้นที่หมู่ 7 (11) ซึ่งไม่เคยพบเคยเห็น แต่ข้อเท็จจริงแล้วเป็นพื้นที่หมู่ 7 แต่เอกสารนส.3 อยู่ที่หมู่ 11
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เรื่องนี้มันเชื่อมโยงไปถึงการขายบ้านของพล.อ.เปรม ที่ท่าแร้ง เขตบางเขน ซึ่งพล.อ.นพเป็นคนซื้อ แต่คนที่จ่ายเงินเป็นกลุ่มคนยักษ์ใหญ่ เชื่อว่ากรณีนี้มันเชื่อมโยงไปยังที่ดินวัฒนานครว่าคนที่ซื้อตัวจริงไม่ใช่พล.อ.นพ เป็นเพียงนอมินีในแง่ของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 110 (2) ห้ามมูลนิธิหาประโยชน์เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หลักการที่กล่าวมาข้างต้นเท่ากับขัดต่อกฎหมาย ตนต้องการคำอธิบายจากพล.อ.เปรม และมูลนิธิว่า สิ่งที่ตนพูดมาว่าเป็นจริงหรือไม่ และพร้อมรับผิดชอบสิ่งที่พูดทั้งหมด การอ้างว่าไปทำสวนยางสาธิต ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับใครกันแน่ ตนสงสัยว่าพล.อ.เปรมจะเป็นเจ้าของสวนยางหรือไม่ โดยพล.อ.นพเป็นคนดูแลสวนยางให้ สาเหตุที่ตนต้องพูด เพราะเรื่องนี้อธิบายได้ว่าอำมาตย์ทำอะไรก็ได้ในสังคมนี้ เป็นการตอกย้ำกฎหมาย 2 มาตรฐาน เร็วๆ นี้ตนจะเปิดปมคนในเครือข่ายอำมาตย์ไปยึดที่ดินชาวบ้านที่หัวหิน เป็นเรื่องฟ้องร้องในศาล และศาลรับแล้วว่าจริง แต่ยังไม่มีการดำเนินการอะไรกับผู้ยิ่งใหญ่
“ขอถามพล.อ.เปรม จะเอาเงินไปไว้ไหน เพราะไม่มีครอบครัว ครองโสดมายาวนาน บ้านก็ไม่ต้องซื้อ น้ำไฟก็ไม่ต้องจ่าย หรือจะอธิบายว่าการเป็นที่ปรึกษากลุ่มทุนไม่ได้รับรายได้ ทราบว่าค่าใช้จ่ายบ้านที่โคราชก็เป็นหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2 ทั้งหมด”
นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาล โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ประกาศจะใช้กฎหมายจราจรจัดการรถอีแต๋น กันไม่ให้ออกจากพื้นที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 14 มี.ค.ว่า ขอยืนยันว่า ประชาชนจำนวนมากที่จะเข้ามา ส่วนใหญเป็นเกษตรกร ซึ่งจะต้องเดินทางโดยรถอีแต๋นแน่นอน การเคลื่อนขบวนจะยึดหลักสงบ ป้องกันผลกระทบการจราจรมากที่สุด กทม.เป็นเมืองหลวงของคนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะชนชั้นสูง เมื่อคนยากจนอยากจะนำพาหนะคู่ชีพมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ถึงสกัดอย่างไรก็จะมา ขอยืนยันว่าจะไม่มีการปิดถนน ถ้ารัฐเป็นห่วงมาก ก็ให้ยุบสภาก่อนวันที่ 12 มี.ค. พวกตนจะได้ไม่เข้ามาชุมนุมที่กทม.
ส่วนกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำเอกสารที่อ้างว่าเป็นของหน่วยงานความมั่นคง ระบุว่าเป็นแผนลับนปช.เผด็จศึกรัฐบาลนั้น ขอบอกว่าเป็นการสรุปข่าว ไม่ใช่ความความลับอะไรเลย เป็นการนำข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มาปะติดปะต่อ บางอย่างก็ประเมินเอง ซึ่งผิดหลายอย่าง ถ้าเป็นการข่าวของจริง ต้องมีลักษณะเหมือนที่ตนออกมาเปิดเผยเรื่องคลังแสงที่จ.พัทลุง และก็เป็นเรื่องจริง ซึ่งต้องถามว่า รัฐบาลปิดข่าวทำไม อาวุธระเบิดเอ็ม 67 ที่หายไปก็เป็นชนิดเดียวกับที่คนร้ายใช้ขว้างธนาคารกรุงเทพ โดยที่แม่ทัพนายกองไม่มีคำอธิบายกรณีนี้เลย จึงตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นการนำมาสร้างสถานการณ์ ทำลายคนเสื้อแดงหรือไม่ รัฐบาลต้องอธิบายให้ชัดเจน