บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

‘ถอดเจ้า’- ‘ริบทรัพย์’!!!

ที่มา วาทตะวันดอทคอม

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

ะยะนี้คนไทยได้แตกแยกออกเป็น 2 กลุ่มชัดเจน คือกลุ่มที่เห็นว่า นายกฯทักษิณ ชินวัตร เป็นคนไม่ดี สมควรโดนยึดทรัพย์กรณีร่ำรวยผิดปกติ ขนาดศาลท่านยังไม่ได้คำตัดสิน ก็มีการออกมาแสดงความเห็น และประโคมข่าวกันอย่างเอิกเกริก ในทำนองไม่มีทางรอด
ต้องโดน “ยึดแหงๆ!” อะไรทำนองนั้น!
นอกจากการแบ่งแยกของผู้คน ยังมีสื่อที่เป็นฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะกลุ่มสื่อ ที่โทษว่าพวกตนเจ๊งราบก็เพราะทักษิณ ได้โอกาสสามัคคีบาทา รุมกระทืบกันอย่างสนุกสนาน
ที่แสบไม่สร่างอย่าง นายอุดม เฟื่องฟุ้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน หรือ ค.ต.ส. ที่“ไอ้บัง กบฏ” มันตั้งขึ้น เพื่อทำการสอบสวนหาความผิดทักษิณฯ กลัวว่าศาลฎีกาฯท่านจะไม่ยึดทรัพย์คุณทักษิณฯหมด ตามความเห็นของตัวกับพวก ดันกะเล่อกะล่าออกมา ให้สัมภาษณ์แจกแจงในทำนองว่า
ต้องยึดทรัพย์ นายกฯทักษิณได้แน่ๆ!
นอกจากนายอุดมฯแล้ว นายแก้วสรร อติโพธิ แก๊งเดียวกันกับนายอุดมฯ ออกมาสาธยายเรื่องการยึดทรัพย์อย่างถี่ยิบ
ไอ้หน้า e.t ตัวนี้แหละครับ ที่แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อคุณทักษิณฯและคณะรัฐมนตรี ที่ถูกแก๊ง ค.ต.ส.กล่าวหาตอนสอบคดีกล้ายาง และหวยบนดิน โดยพูดจาฟังไม่ได้ว่า
“จะไม่จับทุจริตเป็นรายตัว แต่จะเอาไฟฟ้าช็อตให้ตายหมู่!”
ดูมันคุยโอ่ อวดศักดาแบบนี้ แล้วผลคดีออกมาเป็นอย่างไร เหลวเป๋วทั้งเพ...ไม่มีใครติดคุกสักคน!
พฤติกรรมของแก๊ง ค.ต.ส.ที่ยกมานี้ เลยถูกผู้คนด่ายับว่า ‘ชี้นำศาล’ ...ทำอย่างนี้ ได้อย่างไรกัน?

สำหรับประชาชนอีกฝ่ายหนึ่ง กลับเห็นไปในทิศทางตรงข้ามกับพวกแรก คือพวกที่เห็นว่านายกฯทักษิณ ชินวัตร ได้สร้างความเจริญให้กับชาติบ้านเมือง มีคุณูปการมาก คดีที่ถูกกล่าวหาจากแก๊งนั้นก็คลุมเครือ ตั้งแต่สอบสวนมาจนบัดนี้ กว่าสามปีแล้วยังฟ้องไม่ได้ว่า คุณทักษิณฯโกงจะแจ้งได้สักเรื่องเดียว แต่...
มีการรวบรัดตัดตอน ยื่นศาลว่า ร่ำรวยผิดปกติไปโน่นเลย!
การที่นายกฯชาวเชียงใหม่ ต้องถูกดำเนินคดีนั้น ก็เป็นเพราะผลพวงจากการรัฐประหาร โดย ‘ไอ้บัง กบฏ’ กับพวกแท้ๆ แต่มันไม่ยอมให้มีการดำเนินการ ตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมปกติ แถมการสอบสวนก็ดำเนินการโดยแก๊ง ค.ต.ส. (ชาวบ้านชอบเรียกว่า “คณะกรรมการตัวแสบ”) ที่ ‘ไอ้บัง กบฏ’ มันทะลึ่งแต่งตั้งขึ้น ล้วนมาจากปรปักษ์ทักษิณทั้งสิ้น
จึงไม่เป็นการดำเนินการโดย ‘ศุภนิติกระบวน’ ซึ่งไม่เป็นธรรม และละเมิดสิทธิมนุษยชน ทำกันในลักษณะอัปรีย์เช่นนี้ โลกอารยะเขารับไม่ได้
เมื่อตั้งแก๊ง ค.ต.ส.เข้ามาดำเนินการ แทนพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งยังใช้อยู่ในวันที่ ‘ไอ้บัง กบฏ’ ยึดอำนาจ (และยังใช้ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน) เป็นคำแนะนำของ ‘ไอ้มีชัย กบาลใส’ นักกฎหมายที่ถนัดนักในการรับใช้พวกเผด็จการ
ไอ้นักกดหมาตัวร้ายนี้ วางแผนให้ดำเนินการแบบแยบยล คือทำให้ดูคล้ายๆกับว่า เป็นการกระทำโดยกระบวนการที่ถูกต้องชอบธรรม โดยให้มีการดำเนินการ ดังนี้
นำเอากระบวนการที่ไม่ถูกต้อง คือ การตั้งพนักงานสอบสวนพิเศษ (ค.ต.ส.) ขึ้นมา แต่เมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว ทำทีส่งให้อัยการตามของรัฐเป็นผู้ฟ้องร้อง และส่งศาลฎีกาฯตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นผู้ตัดสิน
จึงเป็นการเอากระบวนการที่ไม่ถูกต้อง คือการสอบสวนที่เป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม มาผูกติดกับการพิจารณาชั้น อัยการ และศาล
ทำให้ดู ‘เนียน’ ราวกับว่า สิ่งที่ฝ่ายรัฐประหารกระทำนั้น เป็นเรื่องชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น

นี่คือกลอุบาย เล่ห์เหลี่ยมเจ้าเล่ห์ ของไอ้กบาลใส นักกฎหมายอัปรีย์ ที่พลิกแพลงการใช้กฎหมาย โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม นับเป็นการกระทำที่ระยำหมาอย่างยิ่ง ซึ่งไม่เคยบังเกิดขึ้นในประเทศของเรามาก่อนเลย
ทั้งๆที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาฉบับปัจจุบัน ก็ยังใช้อยู่แท้ๆ...ดูมันทำ!
ผลพวงของการทำระยับยำสุนัขอย่างนี้ ทำให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ถูกบิดเบี้ยวทำให้เสียหาย ระบบกฎหมายที่ดีของเรา เลยถูกดูหมิ่นถิ่นแคลน จากนานาอารยะประเทศเป็นอันมาก
ตรงนี้เอง ที่ที่ผู้คนจำนวนมากมายในประเทศไทย เขา
“รับไม่ได้” พากันแสดงออกถึงความไม่พอใจ ในรูปแบบต่างๆอย่างชัดเจน!

การยึดทรัพย์ในประเทศไทยครั้งสำคัญแต่ละครั้ง ล้วนเป็นผลพวงจากการปฏิวัติรัฐประหาร หรือการยึดอำนาจรัฐด้วยปากกระบอกปืน อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง มักตามมาด้วยการออกกฎหมายพิเศษ เพื่อจัดการกับผู้มีอำนาจเดิม ที่เป็นเป้าหมายของฝ่ายยึดอำนาจนั่นเอง
รายแรกคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ถูกยึดทรัพย์ด้วยมาตรา 17 ของตัวเอง เพราะตายแล้วร่ำรวยมากเกินไป หนังสือพิมพ์เปิดโปงว่ามีเมียเกินร้อย บรรดาลูกเมียโผล่มาฟ้องร้องแย่งสมบัติกันวุ่นวาย ชาวบ้านตกใจเพราะเผด็จการผู้นี้ มีทรัพย์สินตามฟ้องถึง 2,800 ล้านบาท
รายต่อไปคือ จอมพลถนอม กิติขจรกับพวก คือ จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร พอถูกโดนถูกนักศึกษาประชาชนขับไล่ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แล้ว สถานการณ์และกระแสในตอนนั้น กดดันให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี ต้องใช้มาตรา 17 ยึดทรัพย์สินของจอมพลถนอมและพวก เพื่อเอาใจผู้คนในบ้านในเมือง แต่มูลค่าไม่มากเหมือนทรัพย์สินของอีตาสฤษดิ์ มีเงินรวมกันเพียง 400 กว่าล้านบาทเท่านั้น
รายสุดท้ายคือ พลเอกชาติชาย ชุนหะวัณ กับพวกที่เป็นรัฐมนตรีรวม 10 คน ในชุดที่สื่อมวลชนเรียกว่า “บูฟเฟ่แดก-แคบบิเนต” โดนยึดอำนาจเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534 โดยคณะผู้รักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.
คณะ รสช. (โดนถากถางว่า ย่อจากคณะ ’รวมสิ่งชั่ว’) ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อทำการอายัดทรัพย์ และตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ที่เข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งในที่สุดมีคำสั่งยึดทรัพย์รวมมูลค่า กว่า 1,600 ล้านบาท โดยทั้ง 10 คน ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล และศาลฎีกาตัดสินออกมาว่า
คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินไม่มีอำนาจยึดทรัพย์ จึงได้ทรัพย์สินคืนไป ไม่โดนยึด...รอดตัวไป!

วามพยายามที่จะใช้อำนาจที่ยึดมาได้ จัดการกับฝ่ายตรงข้าม มีมาตั้งแต่ครั้งคณะราษฎร์ยึดอำนาจ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองที่คณะราษฎร์ผู้ยึดอำนาจเรียกว่า เป็น
‘ระบอบประชาธิปไตย’
เมื่อมีการยึดอำนาจมาใหม่ๆ คณะราษฎร์ได้ออกแถลงการณ์โจมตีพระมหากษัตริย์ขณะนั้น คือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ด้วยถ้อยคำรุนแรง ขนาดทหารผู้อ่านแถลงการณ์ ถึงกับสะอึก ทนไม่ได้ถึงกับ ไม่ยอมอ่านประกาศต่อให้จบ
...ขนาดนั้นเลยทีเดียว!
หลังจากการยึดอำนาจแล้วเสร็จสรรพ คณะราษฎร์นั้นเคยขอพระราชทานอภัยไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียว ได้เกิดความร้าวฉานในหมู่ผู้จงรักภักดีต่อพระราชวงศ์กับฝ่ายคณะผู้ก่อการ และทำท่าจะลุกลามไป
เจ้าคุณพหลพลพยุหเสนา หนึ่งในคณะผู้ก่อการ พยายามที่ประสานรอยร้าวระหว่างทั้งสองฝ่าย จึงได้เข้าเฝ้า ขอพระราชทานอภัยอีกครั้ง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2475
จากนั้นมีการออกแถลงคำขอพระราชทานอภัย ของฝ่ายคณะผู้ก่อการเผยแพร่ออกสู่ประชา เช่นเดียวกับมีกระแสพระราชดำรัสที่ทรงโปรดพระราชทานอภัยให้ตามคำขอ
ราษฎรก็รับทราบไปตามนั้น

เมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี ได้มีการนำเอกสารลับ ซึ่งเป็นบันทึกของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ราชเลขาธิการในขณะนั้น ออกมาเปิดเผย คนไทยถึงได้ทราบความจริงบางประการ เกี่ยวกับเรื่องสำคัญบางเรื่อง
ผมขอนำรายงานบางตอน มาเสนอท่านผู้อ่าน ดังนี้...

...เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2475 เวลา 17.15 น.
โปรดเกล้าฯ ให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาศรีวิศาลวาจา พระยาปรีชากลยุทธ์ กับหลวงประดิษฐ์มนูธรรม มาเฝ้าที่วังสุโขทัย มีพระราชดำรัสว่า
1. ...อยากจะสอบถามความบางข้อ และบอกความจริงใจ ตั้งแต่ได้รับราชสมบัติ ทรงนึกว่า ถูกเลือกทำไม บางทีเทวดาต้องการให้พระองค์ทรงทำอย่างใดอย่างหนึ่ง...
2.......มีพระราชดำรัสว่า กระดาษที่ประกาศออกไปเกลื่อนเมือง (ประกาศของคณะราษฎร์ ที่โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์...วาทตะวัน) ล้วนเป็นคำเสียหายจะปรากฏในพงศาวดาร เมื่อมีดังนี้แล้วถึงจะแก้ไขใหม่ก็ลำบาก เมื่อสิ้นธุระแล้ว ขอให้ปล่อยพระองค์ออกจากกษัตริย์ดีกว่า เพราะทรงรู้สึกว่า คณะราษฎร์เอาพระองค์ใส่ลงในที่ๆเลวทราม หรือมิฉะนั้น พระองค์ก็ตาขาวเต็มทีซึ่งที่จริงมีถึง 3 ทาง ทั้งสู้ ทั้งหนี คนไม่รู้หาว่าขี้ขลาด มีความอีกข้อหนึ่ง ได้ทรงทราบข่าวเรื่องจะยึดเงิน ไม่ทราบว่าจะจริงหรือไม่เพียงไร ถ้าจะริบ ทรงจะขอลาออกก่อน เพราะจะยอมเป็นหัวหน้าบอลเชวิค ร่วมมือยึดทรัพย์ญาติไม่ได้ ...จึงขอทรงทราบว่า คณะราษฎรได้คิดอย่างนั้นจริงหรือ
พระยาปกรณ์ฯ กราบบังคมทูลว่า คณะราษฎรมิได้คิดอย่างนั้นเลย คิดจะเงินโดยทางภาษี กับทาง Internal Loan เท่านั้น...

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
เมื่อมีการยึดอำนาจในบ้านเมืองตอนนั้น มีการควบคุมเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ไว้หลายพระองค์ ราษฎรพากันซุบซิบพูดจากันไปทั่วบ้านทั่วเมืองว่า ฝ่ายผู้ก่อการจะทำ “ริบทรัพย์” และ “ถอดเจ้า”ต่างเฝ้าดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป ด้วยใจระทึก
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงครองราชย์ในระหว่างเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และทรงพยายามแก้ไขเหตุการณ์ทางการเงินของชาติ ก่อนการยึดอำนาจอย่างเต็มพระกำลัง พระองค์ทรงทราบข่าวลือเรื่องดังกล่าวเช่นกัน และทรงสอบถามกับฝ่ายผู้ก่อการเป็นหลักฐาน ซึ่งปรากฏตามบันทึกของเจ้าพระยามหิธรฯ ฉบับที่อ้างถึงข้างต้น อีกตอนหนึ่งระบุเอาไว้ดังต่อไปนี้

...อีกอย่าง 1 ขอบอกว่าที่มีเสียงต่างๆ ว่าจะให้ถอดเจ้านั้น ทำไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อคณะราษฎรจะทำ ขอให้พระองค์ออกจากกษัตริย์ก่อน ทรงเห็นว่าจะทำอย่างนี้ได้ คือในฝรั่งอย่าให้เรียกหม่อมเจ้าว่า His Highness ให้เรียกหม่อมเจ้าเฉยๆ และที่จะให้เจ้ามีน้อยทรงเห็นด้วย เพราะเดี๋ยวนี้มีมากนัก แต่จะถอดถอนไม่ได้ต้องปล่อยให้ตายไปเอง และตีวงจำกัดเสียสำหรับภายหน้า
พระยามโนปกรณ์ฯ กราบบังคมทูลว่า เรื่องถอดเจ้ายังไม่ได้คิด
มีพระราชดำรัสว่า ใน 2 อย่าง เป็นไม่ยอมทำคือ ‘ริบทรัพย์’ กับ ‘ถอดเจ้า’ พระองค์ได้มีพระราชประสงค์อยู่ในการที่จะช่วยราษฎรทุกคนได้ถือที่ดินและมีที่นาเป็นของตนเอง...

ผมอยากจะเรียนว่า การดำเนินการของคณะราษฎร์นั้น กลุ่มที่ต้องการเพียงเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมือง ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นก็มีอยู่จริง แต่ผู้ที่มีแนวความคิดรุนแรง ถึงขั้น แบบพวกบอลเชวิค ในกลุ่มผู้ก่อการชุดนั้น ก็ใช่ว่าจะไม่มี และคนพวกนี้แหละครับ ที่ต้องการที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลง แบบถอนรากถอนโคนระบบกษัตริย์เสียให้สิ้น โดยไม่ยอมให้มีการประนีประนอมแต่อย่างใด

content/picdata/202/data/A3.jpg

ต้องเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า เจ้านายซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของฝ่ายผู้ก่อการ เพราะเป็นผู้ทรงอำนาจมากที่สุดในประเทศตอนนั้นก็คือ จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (ต้นราชสกุล บริพัตร) หรือที่เรียกกันว่า “ทูลกระหม่อมบริพัตร”) ซึ่งถูกควบคุมภายหลังการยึดอำนาจ
ฝ่ายผู้ก่อการปล่อยข่าวลือ ทำให้พระองค์เสียหายว่า ทรงมีเงินมากมายถึง 200 ล้านบาท (ขณะนั้นงบประมาณประเทศปีละ 60 ล้านบาทเท่านั้น) ทั้งทรงมีวังใหญ่โต คือวังบางขุนพรหม ซึ่งผู้ไม่หวังดีก็ปล่อยข่าวไม่เป็นมงคลอกมาว่า
ที่ดินแปลงดังกล่าว ได้มาเพราะบังคับเอาจากราษฎร!
หลังจากที่ ‘ทูลกระหม่อมบริพัตร’ เสด็จออกนอกประเทศไปเสมือนการเนรเทศแล้ว ความจริงก็ปรากฏออกมาว่า ไม่ได้ทรงร่ำรวยอย่างที่ว่า และวันที่เสด็จออกจากประเทศนั้น ก็ทรงมีเงินติดพระองค์ไปเพียง 9,000 บาทเท่านั้น
สำหรับที่ดินสำหรับการก่อสร้างวังบางขุนพรหม ก็มีหลักฐานทางราชการชัดเจนว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวพระพุทธเจ้าหลวง ทรงซื้อจากเจ้าของเดิมถึง 15 ราย เป็นเงิน 315 ชั่ง 15 บาท 40 อัฐ มีรายชื่อเจ้าของเดิม ปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ
เมื่อซื้อเรียบร้อยแล้ว ได้ทรงพระราชทานให้กับทูลกระหม่อมบริพัตร เสียงลือต่างๆจึงหมดไป
อย่างไรก็ตาม มีข่าวแพร่สะพัดว่า ได้มีการบังคับให้ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ลงพระนามในหนังสืออนุญาตให้รัฐบาล(ของคณะผู้ก่อการ) ใช้วังบางขุนพรหมเป็นสถานที่ทำการของราชการได้
หนังสือที่ทูลกระหม่อมทรงลงพระนาม กลายเป็นเอกสารชิ้นสำคัญ ที่ทำให้ฝ่ายผู้ก่อการและรัฐบาลในยุคนั้น ถือเอาว่า ทรงยอมมอบให้ด้วยความเต็มพระทัย แต่แท้ที่จริงแล้ว
มันเป็นการ ‘บังคับ’ เอาวัง จากพระองค์ท่าน!
ดังนั้น ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ จึงเป็นเจ้านายพระองค์เดียว ที่ ทรงถูกริบทรัพย์ หรือยึดทรัพย์จากคณะผู้ก่อการ 2475!!!

ได้ลำดับเรื่องราว ของความพยายาม “ถอดเจ้า-ริบทรัพย์” โดยกลุ่มผู้ยึดอำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ตอนสำคัญ ให้ท่านผู้อ่านทราบพอสังเขปในวันนี้แล้ว อยากจะออกความเห็นส่วนตัวไว้ดังนี้
ผมเห็นว่าเป็นเคราะห์ดีที่ประเทศของเรา ที่ผลพวงจากการที่ ร.7 ทรงถามฝ่ายผู้ก่อการ อย่างตรงไปตรงมาในครั้งนั้น ยังผลให้บ้านเมืองของเรา คงมีสถาบันกษัตริย์ ไว้คู่กับสถาบันชาติ และพระศาสนาต่อไป จนถึงทุกวันนี้ และหวังว่าคนไทยจะพร้อมใจร่วมกัน รักษาสถาบันหลักทั้งสามนี้ไว้...
ให้มั่นคงสถาพรสืบไป!

ก่อนถึงวันที่มีคำพิพากษาสำคัญในคดียึดทรัพย์ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 25553 ที่จะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฝ่ายเชียร์ให้ยึดอย่างออกหน้าออกตาก็มี แต่ผู้คัดค้านไม่เห็นด้วยก็มากมาย ดังที่ได้เล่าให้ฟังข้างต้นไปแล้ว
จะสมใจหรือสะใจฝ่ายใด ก็ต้องตามดูกันไป!
แต่...ก่อนสิ้นสุดบทความในวันนี้ ผมอยากจะกล่าวเอาไว้ เป็นหลักฐาน ดังต่อไปนี้

เมืองไทยเรานั้น หากยังขืนรักษาหลักคิด หรือแนวความคิดอัปรีย์ที่ว่า
ผู้ทำการยึดอำนาจด้วยกำลังและอาวุธได้สำเร็จแล้ว จะกลายเป็นผู้ถืออำนาจรัฐ พวกเขาจะทำอะไรในบ้านเมือง ก็เป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น และยังถือว่าการกระทำต่อๆมาของพวกเขา เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายอีกต่างหาก นั้น
ถ้าหากนักกฎหมายไทย ยังคงรักษาความคิดเช่นนั้นไว้ อย่างไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแนวทางหรือแนวคิด ขอบอกตรงไปตรงมาว่า
นั่นเป็นการคิดแบบทาส ไม่ใช่ความคิดของเสรีชน โลกอารยะเขาไม่ยอมรับ อย่างเด็ดขาด!

ดังนั้น การตัดสินคดียึดทรัพย์ครั้งนี้ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เป็นความเป็นอยู่ หรือตายไป ของระบอบประชาธิปไตยในประเทศนี้ และถ้าราษฎรจำนวนมาก เขาพากันเห็นว่า
มีความ ‘ไม่เป็นธรรม’ เกิดขึ้นในชาติของเรา ยิ่งหากเกิดการรัฐประหารแทรกซ้อนขึ้นมาอีก นอกจากจะเกิดความไม่สงบขึ้นในชาติแล้ว
ปฏิกิริยาโต้ตอบจากรัฐบาลต่างชาติ ก็จะรุนแรงตามไปด้วย!
สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่า เป็นความจริงแท้แน่นอน ที่กลุ่มผู้กระทำรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 กลายพวกที่สบายที่สุด เพราะมั่งคั่งสุขสำราญบานเบิก จากการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยแท้ๆ

ดูอย่าง ‘ไอ้บัง สามจิ๋ม’ กับพรรคพวกนั่นแหละ...ตอนนี้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีกันถ้วนทั่ว ไปเรียบร้อยแล้ว...

...ครับ กระผม!

...............

****หมายเหตุ
ท่านผู้อ่าน ที่ต้องการทราบถึงกระบวนการยุติธรรมอัน
บิดเบี้ยวของบ้านเรา โปรดเข้าไปอ่านต่อใน 2 คอลัมน์สำคัญ ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกัน และได้รับความสนใจจากท่านผู้อ่านเป็นจำนวนมาก คือ


1. ไทยกับกระบวนการ ‘ไม่’ ยุติธรรม อันน่าอับอาย!!! (จำนวนผู้อ่านแล้วร่วมครึ่งหมื่นราย)
2. จดหมายฟ้องโลก!!! (จำนวนผู้อ่านแล้วเกือบ
หนึ่งหมื่นสองพันราย)

สำหรับจดหมายฟ้องโลก ได้แพร่หลายไปสู่สถานทูตทุกประเทศ ผู้นำชาติต่างๆ สถาบันการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
อ่านแล้วท่านจะเข้าใจถึงความ ‘ไม่ยุติธรรม’ ที่แผ่ปกคลุมบ้านเมืองของเรา และสร้างปัญหาความแตกแยก ร้าวลึก ยากที่จะแก้ไขให้กลับคืนมาได้...ตราบจนกระทั่งถึงวันนี้!!!

ด้วยความเคารพ
วาทตะวัน

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker