เพราะเจตนาดีของรัฐบาลไทยที่อยากทำตัวเป็นเด็กในคาถาของมหาอำนาจอเมริกา แต่สุดท้ายกลายเป็นไทยหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอง
เข้าตำรา "ไม่มีเหาหาเหาใส่หัว" ฉะนั้นแล
กรณีหน่วยสืบราชการลับซีไอเอส่งซิกให้รัฐบาลไทยจับกุมเครื่องบินจากเกาหลี เหนือ ที่ขอแวะจอดเติมน้ำมันที่สนามบินดอนเมือง เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา
จนสามารถยึดอายัดจรวดขีปนาวุธ และอาวุธสงครามร้ายแรงเต็มลำ พร้อมจับกุมนักบินชาวเบลารุส 1 คน ลูกเรือชาวคาซัคสถานอีก 4 คน
ตั้งข้อหาลักลอบขนอาวุธสงครามเข้าประเทศไทย ครอบครองวัตถุต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ศุลกากร เกี่ยวข้อง หรือสนับสนุน หรือเป็นตัวการค้าอาวุธ สงคราม ฯลฯ
โทษหนักขนาดนี้ต้องติดคุกตลอดชีวิตสถานเดียว
แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นหนังคนละม้วนซะแล้วท่านผู้ชม
เพราะอัยการสูงสุดได้มีคำสั่ง "ไม่ฟ้องคดี" ขอให้ศาลปล่อยตัวผู้ต้องหาต่างชาติ ทั้ง 5 คน
เหตุผลที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องคดี มี 4 ประการดังนี้คือ
1, กรณีที่เกิดขึ้นพฤติการณ์ของผู้ต้องหาไม่มีเจตนาลักลอบขนอาวุธเข้าประเทศไทย แต่เป็นการขอแวะจอดเติมน้ำมัน
2, มติของยูเอ็นไม่ได้ระบุให้ประเทศ ไทยดำเนินคดีใดๆกับลูกเรือทั้ง 5 คน เพราะตามหลักกฎหมายถือว่าผู้โดยสาร หรือสินค้าบนเครื่องบินอยู่ในความรับผิดชอบของประเทศเจ้าของอากาศยาน
3, การจับกุมชาวต่างชาติทั้ง 5 คน อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว เพราะรัฐบาลเบลารุสและคาซัคสถานได้ติดต่อขอรับตัวคนของเขากลับไปสอบสวนกันเอง
4, ประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งสิ้นจากการจับกุมครั้งนี้ทั้งทางอ้อมและทางตรง
(แถมยังสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นโดยไม่ รู้ตัว)
"แม่ลูกจันทร์" เห็นด้วยกับอัยการสูงสุดว่ากรณีนี้ประเทศไทย รัฐบาลไทย และประชาชนไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย!!
การจับชาวต่างชาติ 5 คน ซึ่งไม่ได้ กระทำความผิดในประเทศไทยมาขังฟรีไว้ 2 เดือน ถือว่าพลาดเต็มเปา
แต่พลาดยิ่งกว่าคือ การผลีผลามเข้าไปจับเครื่องบินที่ลักลอบขนจรวดขีปนาวุธร้ายแรง (ตามเสียงกระซิบของอเมริกา) โดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของอาวุธลอตนี้เป็นของประเทศใด??
เพิ่งมาทราบภายหลังว่าเจ้าของอาวุธผู้ไม่ประสงค์ออกนามคือ "อิหร่าน" อภิมหา อำนาจตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นคู่กรณีกับอเมริกา
การที่รัฐบาลไทยยึดอาวุธทั้งหมดมาเก็บรักษาไว้ จึงเป็นการอุ้มเผือกร้อนโดยไม่เจตนา
"แม่ลูกจันทร์" ได้ยินชื่อ "อิหร่าน" เข้ามาเกี่ยวข้องก็เสียวต่อมลูกหมากอย่างแรง!!
เพราะอิหร่าน-เกาหลีเหนือ ต้องไม่ พอใจประเทศไทยแน่นอน และต้องขึ้นบัญชีประเทศไทยเป็นเด็กในคาถาอเมริกา
แถมปัญหาที่เกิดขึ้นก็แก้ไม่ง่ายซะด้วยซีโยม
เพราะถึงไทยอยากคืนอาวุธให้เกาหลี เหนือก็ทำไม่ได้ เพราะเกาหลีเหนือไม่กล้า รับคืน
ถึงอยากส่งมอบอาวุธคืนให้อิหร่าน ก็คงไม่ได้ เพราะอิหร่านก็ต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่ของตัวเอง
จะส่งมอบอาวุธทั้งหมดให้ยูเอ็นรับไปดูแล ทางยูเอ็นก็ขอให้ไทยช่วยเก็บรักษาแทน
จะขอให้ยูเอ็นส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาทำลายอาวุธทั้งหมด ยูเอ็นก็ตอบว่ายังไม่มีงบประมาณ
ก็แปลว่าประเทศไทยต้องเก็บ "ของร้อน" เอาไว้ในบ้านต่อไป
เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง ยังต้องเอากระดูกมาแขวนคอ
อยู่ดีไม่ว่าดี...หาเรื่องปวดหัวซะแล้วเรา.
"แม่ลูกจันทร์"
เข้าตำรา "ไม่มีเหาหาเหาใส่หัว" ฉะนั้นแล
กรณีหน่วยสืบราชการลับซีไอเอส่งซิกให้รัฐบาลไทยจับกุมเครื่องบินจากเกาหลี เหนือ ที่ขอแวะจอดเติมน้ำมันที่สนามบินดอนเมือง เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา
จนสามารถยึดอายัดจรวดขีปนาวุธ และอาวุธสงครามร้ายแรงเต็มลำ พร้อมจับกุมนักบินชาวเบลารุส 1 คน ลูกเรือชาวคาซัคสถานอีก 4 คน
ตั้งข้อหาลักลอบขนอาวุธสงครามเข้าประเทศไทย ครอบครองวัตถุต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ศุลกากร เกี่ยวข้อง หรือสนับสนุน หรือเป็นตัวการค้าอาวุธ สงคราม ฯลฯ
โทษหนักขนาดนี้ต้องติดคุกตลอดชีวิตสถานเดียว
แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นหนังคนละม้วนซะแล้วท่านผู้ชม
เพราะอัยการสูงสุดได้มีคำสั่ง "ไม่ฟ้องคดี" ขอให้ศาลปล่อยตัวผู้ต้องหาต่างชาติ ทั้ง 5 คน
เหตุผลที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องคดี มี 4 ประการดังนี้คือ
1, กรณีที่เกิดขึ้นพฤติการณ์ของผู้ต้องหาไม่มีเจตนาลักลอบขนอาวุธเข้าประเทศไทย แต่เป็นการขอแวะจอดเติมน้ำมัน
2, มติของยูเอ็นไม่ได้ระบุให้ประเทศ ไทยดำเนินคดีใดๆกับลูกเรือทั้ง 5 คน เพราะตามหลักกฎหมายถือว่าผู้โดยสาร หรือสินค้าบนเครื่องบินอยู่ในความรับผิดชอบของประเทศเจ้าของอากาศยาน
3, การจับกุมชาวต่างชาติทั้ง 5 คน อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว เพราะรัฐบาลเบลารุสและคาซัคสถานได้ติดต่อขอรับตัวคนของเขากลับไปสอบสวนกันเอง
4, ประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งสิ้นจากการจับกุมครั้งนี้ทั้งทางอ้อมและทางตรง
(แถมยังสร้างศัตรูเพิ่มขึ้นโดยไม่ รู้ตัว)
"แม่ลูกจันทร์" เห็นด้วยกับอัยการสูงสุดว่ากรณีนี้ประเทศไทย รัฐบาลไทย และประชาชนไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย!!
การจับชาวต่างชาติ 5 คน ซึ่งไม่ได้ กระทำความผิดในประเทศไทยมาขังฟรีไว้ 2 เดือน ถือว่าพลาดเต็มเปา
แต่พลาดยิ่งกว่าคือ การผลีผลามเข้าไปจับเครื่องบินที่ลักลอบขนจรวดขีปนาวุธร้ายแรง (ตามเสียงกระซิบของอเมริกา) โดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของอาวุธลอตนี้เป็นของประเทศใด??
เพิ่งมาทราบภายหลังว่าเจ้าของอาวุธผู้ไม่ประสงค์ออกนามคือ "อิหร่าน" อภิมหา อำนาจตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นคู่กรณีกับอเมริกา
การที่รัฐบาลไทยยึดอาวุธทั้งหมดมาเก็บรักษาไว้ จึงเป็นการอุ้มเผือกร้อนโดยไม่เจตนา
"แม่ลูกจันทร์" ได้ยินชื่อ "อิหร่าน" เข้ามาเกี่ยวข้องก็เสียวต่อมลูกหมากอย่างแรง!!
เพราะอิหร่าน-เกาหลีเหนือ ต้องไม่ พอใจประเทศไทยแน่นอน และต้องขึ้นบัญชีประเทศไทยเป็นเด็กในคาถาอเมริกา
แถมปัญหาที่เกิดขึ้นก็แก้ไม่ง่ายซะด้วยซีโยม
เพราะถึงไทยอยากคืนอาวุธให้เกาหลี เหนือก็ทำไม่ได้ เพราะเกาหลีเหนือไม่กล้า รับคืน
ถึงอยากส่งมอบอาวุธคืนให้อิหร่าน ก็คงไม่ได้ เพราะอิหร่านก็ต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่ของตัวเอง
จะส่งมอบอาวุธทั้งหมดให้ยูเอ็นรับไปดูแล ทางยูเอ็นก็ขอให้ไทยช่วยเก็บรักษาแทน
จะขอให้ยูเอ็นส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาทำลายอาวุธทั้งหมด ยูเอ็นก็ตอบว่ายังไม่มีงบประมาณ
ก็แปลว่าประเทศไทยต้องเก็บ "ของร้อน" เอาไว้ในบ้านต่อไป
เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง ยังต้องเอากระดูกมาแขวนคอ
อยู่ดีไม่ว่าดี...หาเรื่องปวดหัวซะแล้วเรา.
"แม่ลูกจันทร์"