นักวิชาการ นักวิเคราะห์ หรือแม้แต่ คนเดือนตุลา มองสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันแล้ว เห็นพ้องต้องกันว่า ทิศทางกำลังย้อนประวัติศาสตร์ความหายนะของบ้านเมืองเมื่อครั้งวิกฤติเดือนตุลาในอดีต
ความล่มจมของประเทศแต่ละครั้ง ก็เกิดจากคนไทยฆ่ากันเองทั้งนั้น
จะขวาพิฆาตซ้าย หรือซ้ายพิฆาตขวาก็คนไทยทั้งนั้น แรงกดดันที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมในสังคม ประชาชนถูกแบ่งชนชั้น มีการปลุกระดมยุยง เกิดเป็นลัทธิอุดมการณ์ขึ้นมา แยกคนไทยออกจากกัน
วงล้อประวัติศาสตร์กำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง รัฐบาลมองประชาชนเป็นศัตรู มองเพื่อนร่วมอาชีพ มองนักการเมืองด้วยกันเป็นศัตรูคู่อาฆาต มองว่าการชิงอำนาจหรือรักษาอำนาจบางอย่างให้คงไว้ เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด
มองประชาชนส่วนใหญ่เป็นแค่เหยื่อ
แม้ปัจจุบัน พรรคคอมมิวนิสต์จะล่มสลายไปแล้ว แนวคิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
แต่ความรู้สึกถูกเอาเปรียบถูกกระทำย่ำยีของประชาชนเปลี่ยนไม่ได้
การต่อสู้ที่เป็นลัทธิและอุดมการณ์จึงมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความรุนแรงและน่ากลัวกว่าปรากฏการณ์ทางการเมืองในอดีต เนื่องจากปัจจุบันโลกของการสื่อสาร ข้อมูลข่าวสารไปได้ไกลและรวดเร็วอย่างทั่วถึง
เข้าสู่ยุคมิคสัญญีจนได้
ประกอบด้วยแรงกดดันจาก ผู้นำทางความคิดที่มีอคติต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ออกมาดูถูกการเคลื่อนไหวของฝ่ายหนึ่งว่ามีเบื้องหลังมีผลประโยชน์ หรือแม้กระทั่งไม่มีแรงเคลื่อนไหวพอที่จะเคลื่อนย้ายภูเขาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองด้วยแล้ว
ก็ยิ่งเหมือนน้ำมันราดบนกองไฟ
ยิ่งรัฐบาลกระเหี้ยนกระหือรือ จะใช้อำนาจเพื่อการคงอำนาจไว้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเหมือนโยนระเบิดเข้าใส่กองไฟ สุดท้ายบ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟจริงๆ
ไม่พ้นปฏิวัติรัฐประหาร
ตัวแทนของประชาชนกำลังเมามัวกับผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ผู้นำเข้ารถยนต์เก่า มาแปรสภาพเพื่อการส่งออกต้องปั่นป่วนหลังกระทรวงพาณิชย์ไม่ยอมเซ็นใบอนุญาต
กระทรวงพาณิชย์เปิดระบายข้าว 5 แสนตัน และห่างกันอีก 2 สัปดาห์จะระบายอีก 5 แสนตัน ก่อนที่ข้าวใหม่จะออกมาตั้งเป้าจะระบายให้ได้ถึง 2 ล้านตัน
โปร่งใสหรือไม่
ประเทศไทยตอนนี้ไม่ต่างอะไรจาก เหตุการณ์ก่อนเสียกรุง ไม่มีคนรักชาติและประชาชนที่แท้จริง มีแต่รักตัวกลัวตายทั้งนั้น.
หมัดเหล็ก