คอลัมน์ เหล็กใน
อ่านข่าวแล้วอึ้งเรื่องบริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงในอังกฤษ เมเปิลครอฟ จัดอันดับความเสี่ยงด้านการก่อการร้ายของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ปรากฏว่าไทยขยับจากอันดับ 11 เมื่อปีที่แล้ว
ขึ้นมาอยู่อันดับ 9 ในปีนี้
ถึงเลขจะสวย แต่ไม่ใช่เรื่องน่าปลาบปลื้มที่ประเทศไทยข้ามมาอยู่ในโซนเลขตัวเดียว
ในการจัดอันดับเรื่องขนหัวลุกแบบนี้
ยิ่งดูชื่อประเทศในกลุ่มท็อปเท็นด้วยแล้วยิ่งพานให้ใจคอห่อเหี่ยว
ไล่ตั้งแต่อันดับ 1 อิรัก อันดับ 2 อัฟกานิสถาน อันดับ 3 ปากีสถาน
อันดับ 4 โซมาเลีย อันดับ 5 เลบานอน อันดับ 6 อินเดีย อันดับ 7 แอลจีเรีย อันดับ 8 โคลัมเบีย ส่วนอันดับ 10 ได้แก่ ฟิลิปปินส์
ไม่น่าเชื่อว่าไทยเราจะติดอยู่ในกลุ่มประเทศเหล่านี้
ตามรายละเอียดข่าวระบุว่าสถาบันผู้จัดอันดับเขาดูจากดัชนีความเสี่ยงต่อการก่อการร้าย ขนาดความรุน แรง ผลกระทบต่อมนุษย์ ความถี่ของการถูกโจมตี
และจำนวนพลเรือนที่เสียชีวิต
ยกตัวอย่างอิรักที่ครองอันดับ 1 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ถึงอิรักจะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว แต่เมื่อดูจากดัชนี 3-4 ตัวที่ว่าปรากฏยังมีอัตราสูงเป็นอันดับ 1 จาก 196 ประเทศทั่วโลก
ส่วนไทยที่ขยับจากอันดับ 11 ขึ้นมาอันดับ 9
สาเหตุมาจากกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาคือตั้งแต่ปี 2547 ถึงปี 2552 มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 3,900 ราย
และทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
ตัวเลขดังกล่าวน่าจะเป็นการบ้านข้อสำคัญให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำไปขบคิดหาวิธีดับไฟใต้อย่างจริงๆ จังๆ มากกว่านี้
การที่รัฐบาลพยายามพูดกรอกหูบ่อยๆ ว่าปัญหาไฟใต้เริ่มบรรเทาเบาบางแล้วนั้น
มีบทพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
ยิ่งถ้าดูจากตัวเลขจัดอันดับข้างต้นแล้ว ยังจะบอกได้ว่าปัญหาไฟใต้รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา
สังเกตหรือไม่ว่าพรรคแกนนำรัฐบาลชุดนี้ที่ปกติมักจะพูดได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระขนาดไหน
แต่แปลกที่เราไม่ค่อยได้ยินรัฐบาลพูดถึงแนวทางแก้ปัญหาไฟใต้เป็นเนื้อเป็นหนังเท่าที่ควร
อาจเป็นเพราะสมัยเป็นฝ่ายค้านเคยพูดไว้เยอะ สั่งสอนคนอื่นไว้มาก
จนเมื่อได้มาเป็นรัฐบาลเองถึงได้รู้
แก้ปัญหาด้วยปาก ง่ายกว่าลงมือทำเยอะเลย
ปรากฏว่าไทยขยับจากอันดับ 11 เมื่อปีที่แล้ว
ขึ้นมาอยู่อันดับ 9 ในปีนี้
ถึงเลขจะสวย แต่ไม่ใช่เรื่องน่าปลาบปลื้มที่ประเทศไทยข้ามมาอยู่ในโซนเลขตัวเดียว
ในการจัดอันดับเรื่องขนหัวลุกแบบนี้
ยิ่งดูชื่อประเทศในกลุ่มท็อปเท็นด้วยแล้วยิ่งพานให้ใจคอห่อเหี่ยว
ไล่ตั้งแต่อันดับ 1 อิรัก อันดับ 2 อัฟกานิสถาน อันดับ 3 ปากีสถาน
อันดับ 4 โซมาเลีย อันดับ 5 เลบานอน อันดับ 6 อินเดีย อันดับ 7 แอลจีเรีย อันดับ 8 โคลัมเบีย ส่วนอันดับ 10 ได้แก่ ฟิลิปปินส์
ไม่น่าเชื่อว่าไทยเราจะติดอยู่ในกลุ่มประเทศเหล่านี้
ตามรายละเอียดข่าวระบุว่าสถาบันผู้จัดอันดับเขาดูจากดัชนีความเสี่ยงต่อการก่อการร้าย ขนาดความรุน แรง ผลกระทบต่อมนุษย์ ความถี่ของการถูกโจมตี
และจำนวนพลเรือนที่เสียชีวิต
ยกตัวอย่างอิรักที่ครองอันดับ 1 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ถึงอิรักจะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว แต่เมื่อดูจากดัชนี 3-4 ตัวที่ว่าปรากฏยังมีอัตราสูงเป็นอันดับ 1 จาก 196 ประเทศทั่วโลก
ส่วนไทยที่ขยับจากอันดับ 11 ขึ้นมาอันดับ 9
สาเหตุมาจากกรณีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาคือตั้งแต่ปี 2547 ถึงปี 2552 มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 3,900 ราย
และทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
ตัวเลขดังกล่าวน่าจะเป็นการบ้านข้อสำคัญให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำไปขบคิดหาวิธีดับไฟใต้อย่างจริงๆ จังๆ มากกว่านี้
การที่รัฐบาลพยายามพูดกรอกหูบ่อยๆ ว่าปัญหาไฟใต้เริ่มบรรเทาเบาบางแล้วนั้น
มีบทพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
ยิ่งถ้าดูจากตัวเลขจัดอันดับข้างต้นแล้ว ยังจะบอกได้ว่าปัญหาไฟใต้รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา
สังเกตหรือไม่ว่าพรรคแกนนำรัฐบาลชุดนี้ที่ปกติมักจะพูดได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระขนาดไหน
แต่แปลกที่เราไม่ค่อยได้ยินรัฐบาลพูดถึงแนวทางแก้ปัญหาไฟใต้เป็นเนื้อเป็นหนังเท่าที่ควร
อาจเป็นเพราะสมัยเป็นฝ่ายค้านเคยพูดไว้เยอะ สั่งสอนคนอื่นไว้มาก
จนเมื่อได้มาเป็นรัฐบาลเองถึงได้รู้
แก้ปัญหาด้วยปาก ง่ายกว่าลงมือทำเยอะเลย