บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นักลงทุนแตกตื่น ท่องเที่ยวเจ๊ง!

ที่มา บางกอกทูเดย์

ร้ายกว่านั้นก็คือ ระบุด้วยว่าพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็จะมีการทยอยตั้งด่าน รวมประมาณ 160-200 ด่าน ใช้กองกำลังผสมประมาณ 54 กองร้อย และจะมีกองหนุนอีกจำนวนหนึ่งมาเสริม38 จังหวัด กับ 200 ด่าน รอบกรุงเทพฯ นี่รัฐบาลกำลังสร้างภาพเลวร้ายออกไปทั่วโลกแล้วนักท่องเที่ยวที่ไหนอยากจะมาท่องเที่ยวเมืองที่มีด่านตรวจของทหารตำรวจเกือบ 200 ด่านเช่นนี้ นักลงทุนต่างชาติตื่นตระหนกจนขนหัวลุกกันหมดแล้ว กับเรื่อง 10 วันอันตรายก่อน 26 กุมภาพันธ์ที่นอกจากรัฐบาลจะละเลงใส่สีตีไข่จนเลอะเทอะแล้วบรรดานายกองร้องด่าท้าทายรอบตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็สนุกสนานปากจนเลยเถิดไม่มีบันยะบันยังจนราวกับบ้านเมืองกำลังจะเกิดมิคสัญญีเจอ

แบบนี้จะไม่ให้นักลงทุนต่างชาติตื่นตระหนกและถอดใจกันได้อย่างไรทุกวันนี้บรรดานักธุรกิจไทยที่ติดต่อกับต่างชาติ รู้ดีว่าคำถามยอดฮิตที่ต่างชาติจะต้องถามก็คือ จะปฏิวัติอีกหรือไม่?... จะรุนแรงแค่ไหน?...ทำให้ภาคธุรกิจย้อนกลับมาตั้งคำถามนายอภิสิทธิ์ว่า ทำแบบนี้สนุกสนานกันดีอยู่หรือคิดถึงประเทศชาติบ้างหรือไม่!!!ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง มาจากการใช้ปากของคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ ที่ประโคมในเรื่องวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้

ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือ คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทซึ่งมีความพยายามของทั้งอดีต คตส. นักการเมือง และแม้แต่กระทั่งคนระดับรัฐมนตรี ดาหน้าสลับกันออกมาชี้นำศาลว่าควรจะยึดให้หมดทั้งจำนวน ให้เรียบวุธไม่ให้เหลือเลยนอกจากเป็นการชี้นำศาลเพื่อหวังผลทางการเมืองอย่างชัดเจนแล้ว ยังต้องถือเป็นการละเมิดศาลด้วยซ้ำไป... แต่คนเหล่านี้ซึ่งกลัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

หลอกหลอนจนขี้ขึ้นสมองนอนไม่หลับ จึงเชื่อว่าหากไม่ทำลายล้างให้ย่อยยับ หาก พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาได้ คนเหล่านี้ไม่มีที่ยืนในสังคมแน่ๆ เพราะโกหกพกลมเอาไว้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องเช็คบิลทางการเมืองให้สำเร็จแต่เนื่องจากสังคมไทยยังมีนักกฎหมาย มีผู้ที่ยึดมั่นในระบบยุติธรรมที่แท้จริงอยู่เป็นจำนวนมาก เลยก่อให้เกิดคำถามสะท้อนกลับอย่างมากมายเข้าใส่บรรดาอดีต คตส.ทั้งหลาย โดยเฉพาะนายแก้วสรร อติโพธิ์ว่าหากเป็นไปตามครรลองที่ถูกต้อง

ของกระบวนการทางกฎหมายจริงๆ แล้ว ทำไมจึงไม่ใช่กฎหมายในการอธิบายความให้ประชาชนยอมรับทำไมนายแก้วสรรต้องใช้วิธีการตั้งทฤษฎีวัว ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในระบบกฎหมาย ระบบยุติธรรมเลย มาเป็นเครื่องมือในการหว่านล้อม หวังให้สังคมยอมรับว่าสิ่งที่ คตส. ทำนั้นเหมาะสมแล้วซึ่งในสายตาของนักกฎหมายที่แท้จริงแล้ว การที่ต้องอ้างเหตุผลที่ไม่ใช่ข้อกฎหมายแบบนี้ ย่อมแสดงว่า ไม่สามารถอรรถาธิบายพฤติกรรมและวิธีคิดของ คตส.ได้ตามกระบวนการทาง

กฎหมายนั่นเองนี่เองที่เป็นสิ่งให้การเคลื่อนไหวเพื่อทวงระบบยุติธรรมมาตรฐานเดียวให้กลับคืนมาสู่สังคมไทย ยังคงเดินหน้าทวงอย่างไม่หยุดยั้งซ้ำยังขยายวงมากขึ้นเรื่อยๆนี่แหละผลของการฝืนระบบยุติธรรมที่แท้จริงของกลุ่มอำมาตยาธิปไตย กลุ่ม คมช. และพรรคประชาธิปัตย์ที่คิดว่าอำนาจจากการทำรัฐประหารสามารถช่วยให้ทำอะไรก็ได้ทุกอย่างมาวันนี้ นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ยิ่งดิ้นหนีในทุกเรื่องที่ทำผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดี

ยุบพรรคเพราะรับสินบน 258 ล้าน เรื่องคดีการส่ง SMS คดีเขายายเที่ยง คดีเขาสอยดาวใช้การซุก การซื้อเวลา รวมทั้งใช้การแทรกแซงองค์กรอิสระ หน่วยงานรัฐจนยิ่งทำให้เกิดภาพอีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ผิดหมด ในขณะที่ทุกเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ ที่พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอำมาตยาธิปไตยทำ ไม่เคยถูกนำเข้าสู่ระบบยุติธรรมที่แท้จริงเลยจึงทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงยังคงปักหลักทวงความยุติธรรม และทวงคืนระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ชนิดที่ไม่ยอมเลิกราและทำให้

การประโคมข่าว การกล่าวหาของรัฐบาล ของคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ เกี่ยวกับวันอันตราย ยิ่งกลายเป็นเรื่องเลวร้ายที่วกเข้าใส่รัฐบาลเอง เพราะเวลานี้ต่างชาติระส่ำไปหมดแล้วดัชนีตลาดหุ้นไทย ที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไปคุยประโคมโอ่ไว้ว่าหุ้นขึ้นไป เจ็ดร้อยกว่าเกือบแปดร้อยจุดเป็นเพราะประชาธิปัตย์วันนี้ดัชนีหุ้นไทยไหลรูดต่ำกว่าเจ็ดร้อยจุดแล้ว ก็เพราะปากหาเรื่องของคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์นั่นแหละแถมเมื่อประโคมข่าวยั่วยุให้

ประชาชนทนไม่ไหว กลุ่มคนเสื้อแดงเพิ่มจำนวนมากขึ้น เท่านั้นเอง รัฐบาลก็วิ่งพล่านไปหมดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ต้องเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นกรณีเร่งด่วน เมื่อคืนวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา เป็นการประชุมฉุกเฉินเพื่อประเมินสถานการณ์ และเตรียมแผนรับมือจากนั้นเมื่อนายอภิสิทธิ์ รัฐมนตรีบางคน และบรรดานายกองร้องด่าท้าทายได้รับรู้ ก็ตามมาด้วยการกระทำที่ไม่รอบคอบ เพราะยิ่งสร้างความสั่นสะเทือนต่อ

ความเชื่อมั่นของประชาชน ต่อทิศทางการลงทุน แต่ต่อสายตาของต่างประเทศมากขึ้นเพราะมีการออกมาตั้งหน่วยเฝ้าระวัง 38 จังหวัดทั่วประเทศไทยซึ่งคนเสนอนั้นถ้าไม่บ้องตื้น ก็คงตกคณิตศาสตร์ เพราะประเทศไทยนั้นมี 76 จังหวัด การเฝ้าระวังถึง 38 จังหวัด ก็คือ เท่ากับครึ่งประเทศเข้าไปแล้ว ต่างชาติสะดุ้งเฮือกในทันทีรัฐบาลที่มีประชาชนในพื้นที่ครึ่งประเทศไม่พอใจ ไม่ยอมรับ เป็นเพราะอะไร รัฐบาลทำอะไรแถมพอมีเรื่องขุดคุ้ยรัฐบาล ขุดคุ้ยทหารในลักษณะ

ของความไม่ชอบมาพากล ในเรื่องที่พัวพันกับทุจริต หรือเรื่องที่ไม่โปร่งใส อย่างเช่น กรณีเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 พอถูกปูดออกมากระแสปฏิวัติก็กระหึ่มขึ้นมาในทันทีแบบนี้จะให้นานาประเทศมองรัฐบาลไทย มองนายทหารใหญ่บางคนอย่างไรที่สำคัญนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือว่าพูดแทนรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ดันระบุคอนเฟิร์มชัดเจนว่ามีการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ได้

อนุมัติให้เสริมกำลังเจ้าหน้าที่ลงไปในพื้นที่ 38 จังหวัด โดยในแต่ละจังหวัดจะมีกองกำลังผสม ตำรวจ ทหาร และพลเรือน ประจำอยู่ ประมาณ 3-5 กองร้อย และมีกองหนุนที่ตั้งขึ้นมาตามสถานการณ์อีกส่วนหนึ่งด้วย ร้ายกว่านั้นก็คือ ระบุด้วยว่าพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็จะมีการทยอยตั้งด่าน รวมประมาณ 160-200 ด่าน ใช้กองกำลังผสมประมาณ 54 กองร้อย และจะมีกองหนุนอีกจำนวนหนึ่งมาเสริม38 จังหวัด กับ 200 ด่าน รอบกรุงเทพฯ นี่รัฐบาลกำลังสร้างภาพเลว

ร้ายออกไปทั่วโลกแล้วนักท่องเที่ยวที่ไหนอยากจะมาท่องเที่ยวเมืองที่มีด่านตรวจของทหารตำรวจเกือบ 200 ด่านเช่นนี้และยังกลัวเขย่าขวัญไม่พอ บรรดาคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ ทั้งโฆษกส่วนตัว โฆษกพรรค และคนใกล้ชิดออกมาพูดถึงการยึดศาลากลาง การเผาศาลากลาง การเตรียมระเบิดน้ำมันเป็นล้านขวดสนุกปาก แต่ทำลายประเทศชาติอย่างมหันต์ฉะนั้นแทนที่ นายอภิสิทธิ์ จะพยายามออกมาพูดกับสังคมว่า มีคนบางกลุ่มต้องการให้เกิดความตื่นตระหนก หวาดกลัว

และวาดภาพเสมือนจะเกิดความรุนแรง รวมถึงเรื่องการปฏิวัติ แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลยนั้น... นายอภิสิทธิ์น่าจะไปห้ามปรามคนรอบตัวเสียมากกว่าแล้วก็ให้คนเหล่านั้นหยุดพูดเสียที เพราะการที่คนเหล่านั้นยังพูด ยังเสนอหน้าอยู่ ไม่ว่าใครก็ต้องเชื่อว่าเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์เห็นด้วย จึงไม่มีการปราม แบบนี้แล้วสถานการณ์ขณะนี้จะไม่ถูกมองว่า ขัดแย้งรุนแรงในประเทศได้อย่างไรหากนายอภิสิทธิ์ยังคงยึดมั่นในประชาธิปไตย และระบบยุติธรรมที่แท้จริง ควรที่จะ

ต้องออกมาเร่งจี้คดีต่างๆ ให้เสมอภาคกัน เพื่อที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะได้ไม่มีเหตุผลในการรวมตัวเพื่อติดตามคดี และเพื่อทวงความเป็นธรรมเช่นกรณีคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ที่ทั้ง คตส. และอัยการ ถูกตั้งคำถามว่า ยึดเอาทฤษฎีตนเองเป็นที่ตั้ง โดยไม่ฟังคำชี้แจง หรือไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายจำเลยชี้แจงเท่าที่ควรเลยทั้งๆ ที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นผู้คัดค้านคดี ยืนยันว่า ทรัพย์สินจำนวน 40,000

ล้านบาท ของทั้ง 2 ที่ถูกยึดในชั้น คตส. นั้นได้มาโดยสุจริต ไม่ได้เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มาก่อนดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งเรื่องอำนาจการร้องอายัดทรัพย์ของทั้ง 2 ซึ่งไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสิ่งเหล่านี้ล้วนถูกสังคมจับตามองดูอยู่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลย่อมรู้ดีตราบใดที่ความอึมครึมยังมีอยู่ในกระบวนการทางการเมือง การทวงความยุติธรรมที่แท้จริง ก็ไม่มีทางที่จะหมดไปจากสังคมไทยแน่!!!

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker