บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เจโทรเตือนไทย เสียโอกาส มาบตาพุดทำเจ๊ง

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_63228
ประธานเจโทร ยกผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในไทย ระบุปัญหามาบตาพุดผลกระทบแรงกว่า ปิดสนามบิน วอน "มาร์ค" ทำแผนให้ชัดเจน ก่อนไทยเสียโอกาสดูดเงินลงทุนต่างประเทศ...

เมื่อวันที่ 5 ก.พ. นายมูเนโนริ ยามาดะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (เจโทร กรุงเทพฯ) กล่าวถึงผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำครึ่งแรกปี 53 จากการสำรวจบริษัทสมาชิกหอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ จำนวน 1,296 บริษัท ในเดือน พ.ย. 52 ว่า การสำรวจความกังวลในเรื่องผลกระทบจากปัญหามาบตาพุดต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ภายหลังจากคำตัดสินของศาล พบว่า 32% กังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งทางตรง ทางอ้อม และอาจมีการทบทวนแผนการลงทุนใหม่ ขณะที่อีก 68% ไม่ทราบ ซึ่งอาจเป็นอุตสาหกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในมาบตาพุด เช่น บริษัทการค้า การค้าปลีก การขนส่งและการสื่อสาร

ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นในเดือน พ.ย.52 ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งระงับโครงการในมาบตาพุด ที่ขณะนั้น ความสนใจเกี่ยวกับมาบตาพุดยังมีน้อย ปัญหามาบตาพุด นักธุรกิจญี่ปุ่นกังวลมากที่สุด ซึ่งผลกระทบรุนแรงมากกว่าปัญหาการเมืองภายใน และการปิดสนามบิน โครงการที่ถูกระงับดำเนินการต่อ มีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบมากมาย หากเดินเครื่องผลิตไม่ได้ รายได้ขาดหายไป หากรัฐบาลไทยยังไม่มีแนวทางแก้ปัญหาที่ชัดเจน โครงการเหล่านี้อาจล้มละลายได้ โดยความเสียหายเหล่านี้ บริษัทญี่ปุ่นจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทยหรือไม่ เป็นเรื่องที่แต่ละโครงการจะพิจารณา

ทั้งนี้ นายมูเนโนริ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการใน 3 เรื่องอย่างเร่งด่วน คือ 1. ขอให้รัฐบาลไทยชี้แจงแนวทางการแก้ปัญหามาบตามพุดโดยตรงกับนักลงทุนญี่ปุ่น 2. ขอให้รัฐบาลไทยกำหนดแผนการแก้ปัญหา และระยะเวลาดำเนินการให้ชัดเจน โดยเฉพาะการกำหนดให้อุตสาหกรรมประเภทใดจะต้องรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม และผลกระทบด้านสุขภาพ และ 3. ขอให้ทั้ง 3 สถาบันของไทย ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ร่วมกันออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหา และผลักดันให้กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด

ส่วนผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจช่วงครึ่งแรกของปี 2553 พบว่า บริษัทที่ตอบว่าสภาพธุรกิจจะดีขึ้นเท่ากับ 52% โดยลดลงจาก 64% ในการสำรวจสภาพธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 52 ส่วนที่ตอบว่าแย่ลง มี 12% ลดลงจาก 19% แสดงถึงการปรับตัวที่ดีขึ้นของสภาพธุรกิจ แม้จะยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ส่วนการสำรวจยอดขายนั้น 73% ตอบว่ายอดขายรวมในปี 53 จะเพิ่มขึ้น จากการสำรวจครั้งก่อนหน้า ที่ตอบเพิ่มขึ้นเพียง 22% แต่ที่ตอบว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% มีถึง 11% ชี้ให้เห็นว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไม่เร็วตามคาด ขณะที่การสำรวจด้านกำไร/ขาดทุนก่อนหักภาษีนั้น 85% ตอบว่าจะมีกำไร แต่ 53% ตอบว่า มีกำไรเพิ่มขึ้น ส่วนอีก 19% ตอบมีกำไรลดลง ชี้ให้เห็นว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่เท่าระดับเดิมก่อนจะทรุดตัว

สำหรับทิศทางของแผน และการพัฒนาทางธุรกิจนั้น 48% ระบุจะขยายธุรกิจในไทย และไม่ย้ายฐานไปที่อื่น 44% ระบุขยายธุรกิจในไทยให้มากขึ้นโดยเชื่อมโยงแผนการพัฒนาธุรกิจของญี่ปุ่นในต่างประเทศ 26% ตอบมุ่งเน้นทำธุรกิจอาเซียน อีก 14% ตอบมุ่งเน้นทำธุรกิจในอินเดีย ส่วนผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ส่วนใหญ่ได้รับผลดีทั้งทางตรง และทางอ้อมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศอื่น (เช่น สหรัฐฯ ยุโรป) มากกว่ามาตรการกระตุ้นของไทย และญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ต้องการให้รัฐบาลไทยพัฒนา และปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวกับศุลกากร พัฒนาและปรับเปลี่ยนการใช้งานของระบบภาษี.

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker