อนิจจา กทม.ยุคคุณชายสุขุมพันธ์ ถูกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เห็นเป็นเพียงเบี้ยบนกระดาน ใช้เดินเกมเพื่อรักษาเก้าอี้นายกฯ และอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย จนคน กทม.อึดอัดกันหมดแล้วไม่รู้ว่าการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องตกอยู่ในสถานะ “หนังหน้าไฟ” เช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อปลายเดือนกันยายน ปีที่แล้ว “สุขุมพันธ์” ได้มีการวิพากษ์ตรงไปตรงมาแบบวิชาการ ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสไตล์ประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้เรื่อง ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกลายเป็นแผลในใจที่ทำให้ 2 เด็กดื้อ ปชป. แค้นฝังหุ่น และจ้องเล่นงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์มาตลอดก็เป็นได้งานเข้าเต็มๆ สำหรับกรุงเทพมหานคร ยุคที่มี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทั้งๆ ที่ตามปกติ หากรัฐบาลเป็นพรรคเดียวกับผู้ว่าฯ กทม. ทุกอย่างก็น่าที่จะฉลุยแต่ใครจะคิดว่า ในยุคของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
ระยะหลังๆ ดูเหมือน กทม.จะตกอยู่ในสถานะ “เบี้ย” ทางการเมือง อย่างไรพิกลแถมเป็นเบี้ยที่ต้องถูกด่า ถูกวิพาก์วิจารร์จากสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นระยะๆตลอดเวลาอย่างเช่นการถูกให้เดินเกมปิดสนามหลวงเป็นระยะเวลา 300 วัน ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่า สนามหลวงเป็นพื้นที่หลักพื้นที่หนึ่งในการทวงคืนประชาธิปไตยของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อ กทม.มาสั่งปิดยาว 300 วันเสียงสะท้อนในเชิงลบย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นว่า... จงใจ เจตนา หรือไม่???เช่นเดียว
กับการปิดสะพานลอยสามเหลี่ยมดินแดง เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา จนกระทั่งทำให้รถติดวินาศสันตะโร ชยันโต กทม.กันลั่นๆ ทั้งเมือง ทำให้สุดท้าย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องออกมาขอโทษประชาชนซึ่งแน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน ความสงสัยประดังขึ้นมาทันที เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศว่าจะมีการชุมนุมทวงคืนประชาธิปไตยในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อมีการ
ชิงจังหวะปิดสะพานลอย ทำให้การจราจรมีปัญหา ก่อนหน้าการชุมนุมเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น... ใครเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงก็อดสงสัยไม่ได้ทั้งนั้น ว่านี่มันน่าจะเป็นเจตนามากกว่าบังเอิญที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มีการปักใจเชื่อว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังจงใจใช้ กทม. เป็นเบี้ยในการเดินเกมการเมือง เพียงเพื่อรักษาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ก็เพราะว่าในวันที่ 8 มีนาคม วันเดียวกับการประเดิมสั่งปิดสะพานลอยสาม
เหลี่ยมให้เดือดร้อนกันทั้งเมืองนั้นเอง ปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ ได้มีการเรียก นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัด กทม. พร้อมทั้งหัวหน้าเขตใน กทม. ทั้ง 50 เขต มาประชุมอ้างสถานการณ์บ้านเมือง แล้วขอให้บรรดาหัวหน้าเขตไปปลุกระดมชาวบ้าน กับพวกพ่อค้าให้ออกมาต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยการให้มีการร่วมมือกันติด Banner ต่อต้าน เรียกร้องความสงบสุข แน่นอนว่างานนี้ แม้แต่ส.ก. ส.ส. ของพรรคประชาธิปปัตย์ ก็ถูกขอให้มาร่วมดำเนินงานในครั้งนี้ด้วย
เช่นกันเล่นเอาบรรดาหัวหน้าเขตทั้งหมดนั่งอึ้งกิมกี่ไปตามๆ กัน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้เป็นเรื่องของการช่วงชิงและยึดครองอำนาจทางการเมืองของนักการเมือง ที่มีกลุ่มอำมาตยาธิปไตยหนุนหลังแล้วข้าราชการ กทม. ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ทำไมจึงต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยที่สำคัญบรรดาหัวหน้าเขตทั้ง 50 เขต ล้วนอยู่ในพื้นที่และต่างรู้ดีว่า ในพื้นที่นั้นมีสีแดง และมีสีเหลือง รวมทั้งมีสีขาวอยู่ด้วยทั้งนั้น การที่จะสะเหร่อแป๊ะไปขอ
ความร่วมมือแบบที่นายอภิสิทธิ์สั่งการ ก็มีแต่ซวยกับซวยนั่นแหละ ยิ่งหากมีการพลิกผันเปลี่ยนขั้วทางการเมืองขึ้นมาจริงๆ อันตรายแน่ๆ อะไรไม่ร้ายเท่ากับว่า ไม่ใช่ให้ กทม. เป็นเบี้ยแค่ไปขอให้คนขึ้นป้ายผ้าต่อต้านคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่ยังจะให้ กทม.ออกมาตรการห้ามรถที่ติดทะเบียนต่างจังหวัด โดยเฉพาะรถทะเบียน 6 จังหวัดรอบกรุงเทพฯ จะไม่ให้เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงที่คนเสื้อแดงชุมนุมงานนี้ป่วนหนักแน่ เพราะรถทะเบียนปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ ก็
ล้วนแล้วแต่เป็นรถเชิงพาณิชย์ รถที่ทำมาหากิน ขนพวกอาหาร ผักผลไม้ เนื้อ และเนื้อหมู เข้ามาส่งในกรุงเทพฯ เข้ามาส่งในตลาดขืน กทม. ประกาศออกมาจริง ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจะพลอยลุกฮือขึ้นมาด้วย ทีนี้ล่ะได้กลายเป็นจราจลเลยแหละ เพราะเรื่องปากท้องการทำมาหากินของชาวบ้าน เอามาเป็นเกมการเมืองได้อย่างไรยังคลั่งไม่พอ... เพราะในการประชุมยังมีการเสนอมาตรการให้ปิดปั้มน้ำมันรอบกรุงเทพฯด้วย หวังบีบให้ผู้ที่จะเข้ามาร่วมชุมนุม เข้า
กรุงเทพฯ ไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำมันเติม หรือหากเข้ามาได้ ก็จะไม่มีน้ำมันเติมกลับบ้านรวมทั้งยังคิดจะให้ กทม. สั่งห้ามรถอีแต๋น เข้ากรุงเทพฯ อีกด้วยนี่คืออาการคลั่งอำนาจ และการพยายามรักษาความมั่นคงของตนเอง โดยไม่มีการคำนึงถึงอะไรอีกแล้วดังนั้นเมื่อ ทางกทม. ได้มีการชี้แจงด้วยความลำบากใจว่า ตามบัญญัติอำนาจหน้าที่ของ กทม.นั้น มีหน้าที่ทำความสะอาด หาห้องน้ำ รักษาพยาบาล จัดการจราจร ดูแลทุกข์สุข ให้ประชาชนในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นสีไหน
ก็ตามเล่นเอาบิ๊กประชาธิปัตย์นอกจากตกอยู่ในสภาวะหน้าหงายแล้ว ยังถึงกับทะลุขีดคลั่ง เพราะเหมือนกับเป็นการตอบเป็นนัยๆ ว่าไม่มีหน้าที่รับใช้พรรคการเมืองไม่มีหน้าที่เป็นเบี้ยบนกระดานการเมืองให้ใครซึ่งจะว่าไปก็โทษว่าทาง กทม. ที่ต้องตั้งการ์ดสูงระวังตัวไว้ก่อนไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา การเมืองรอบนี้ก็ใช้ กทม. ใช้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ให้เปลืองตัวจริงๆไม่รู้ว่าการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องตกอยู่ในสถานะ “หนังหน้าไฟ” เช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อปลายเดือนกันยายน ปีที่แล้ว
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้มีการวิพากษ์ตรงไปตรงมาแบบวิชาการ ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสไตล์ประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้เรื่อง ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกลายเป็นแผลในใจที่ทำให้ 2 เด็กดื้อ ปชป. แค้นฝังหุ่น และจ้องเล่นงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์มาตลอดก็เป็นได้จึงทำให้ครั้งนี้ถึงได้ หวังใช้ กทม.ให้ทำงานที่เสี่ยงต่อการ “กระทำเกินหน้าที่” ซึ่งเป็นอันตรายต่อหน่วยงานและข้าราชการ กทม.ทั้งหมดเป็นอย่างมากเป็นเกมอำมหิตและคบยากจริงๆ ของประชาธิปัตย์สไตล์คบยากของประชา
ธิปัตย์แบบนี้แหละที่ทำให้ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่วิทยาลัยตลาดทุน (วตท.) นายพินิจ จารุสมบัติ ในฐานะประธานรุ่น 9 ได้ขึ้นบนเวทีกล่าวต้อนรับ นักศึกษารุ่นที่ 10 ซึ่งมีนายบรรหาร ศิลปอาชา กับพวกรุ่นใหญ่ๆ ของประเทศอีกหลายคนอยู่ในรุ่นนี้ด้วย ทำให้มีคนแทบทุกพรรคการเมือง เป็นนักเรียนรุ่นที่ 10 ซึ่งวันนั้นท่ามกลาง วตท. ทั้งรุ่น 9 และรุ่น 10 ประมาณ 200 กล่าวคน นายพินิจ ได้มีการกล่าวว่า “ขอให้พี่บรรหารเพียงทำ ส.ส.ในสังกัดเปลี่ยนขั้ว ประเทศไทยจะ
เจริญก้าวหน้าสงบสุขทันที”เรียกเสียงเฮฮาได้ดังลั่น แต่เมื่อหลายๆ คนเหลือบไปเห็นหน้า นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ซึ่งเป็น วตท.รุ่น 9 นั่งอยู่ด้วย ทุกคนก็ขำไม่ออกเพราะตามข่าวบอกว่าหน้าตาของนายไตรรงค์ไม่ค่อยจะมีความสุขเอาเสียเลยแต่จะโทษใครได้ ทุกอย่างล้วนเกิดจาก ปชป.ยุคเด็กดื้อที่มีอำมาตย์อุ้มทั้งสิ้น... บ้านเมืองถึงวุ่นวายเช่นนี้