บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

สหรัฐอเมริกากับมหาอำมาตย์

ที่มา Thai E-News


โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ สายตาโลก นิตยสาร Thai Freedom

คิดได้เช่นนั้นสหรัฐฯ ก็เริ่มจะหาทางเลือกใหม่ จะเป็นประโยชน์โดยอ้อมกับขบวนการประชาธิปไตยของไทย โดยที่สหรัฐฯ เองก็อาจจะมิได้นึกฝัน ผมได้คุยกับคนสำคัญของสหรัฐฯ ไม่นานนี้ เขาเข้าใจเรามากขึ้นและทบทวนนโยบายที่ผ่านมาอย่างจริงจังขึ้น โอกาสที่มหาอำมาตย์ไทยหวังจะอาศัยกำลังจากสหรัฐฯ มาช่วยปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยในเมืองไทยก็จะมีน้อยลงตามลำดับ



ความจริงเรื่องนี้เขียนได้เป็นเล่มและหลายเล่ม มหาอำมาตย์ของไทยรักษาอำนาจได้อย่างมั่นคงตราบเท่าทุกวันนี้ เหตุปัจจัยที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา

แต่วันนี้จะยังไม่ลำดับความกันถึงขนาดนั้นหรอกครับ ฝ่ายเราเองก็ยังเจรจาความกับเขาอยู่ เราต้องรักษามารยาทและบรรยากาศไว้บ้าง แต่สถานการณ์ที่รัดรึงเข้ามาอย่างมากขณะนี้ในเมืองไทย ทำให้เกิดความจำเป็นบางอย่างที่จะไม่พูดถึงเลยก็ไม่ได้ บทความในวันนี้คงจะเหมือนไต่เส้นลวดในละครสัตว์อยู่ไม่น้อย

อันดับแรกควรต้องเข้าใจว่า ถึงเราจะไม่อยากยุ่งกับสหรัฐฯ สหรัฐฯ ก็มายุ่งกับเราอยู่ดี ในทัศนะของคนที่ไม่ชอบสหรัฐฯ ก็เรียกว่าเป็น “ปิศาจที่จำเป็น” หรือ “necessary evil” อย่างหนึ่ง

ส่วนคนที่ไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรเขานัก หรือไม่มีอคติ ก็น่าจะลองมองสหรัฐฯ ว่าจะทำประโยชน์อะไรให้กับเราได้บ้าง โดยเฉพาะในการรณรงค์ส่งเสริมประชาธิปไตย

อันดับสองควรทราบว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้ามากและได้รับประโยชน์เต็มที่จากความเป็นประชาธิปไตย แต่ผู้มีอำนาจตัดสินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ไม่ได้สนับสนุนให้ประเทศอื่นๆ ในโลกเป็นประชาธิปไตยเสมอไป หากเป็นประชาธิปไตยแล้วทำให้สหรัฐฯ ยุ่งยากหรือเสียผลประโยชน์ สหรัฐฯ ก็หันกลับมาสนับสนุนระบอบเผด็จการได้เสมอ

อันดับสามที่ควรพึงระวังคือ ไม่มีใครผูกขาดอำนาจหรือมีอำนาจสูงสุดในการเมืองอเมริกัน สังคมของเขาถูกกำหนดมาให้คานและถ่วงดุลกันในทุกเรื่อง ใครมีอำนาจมากเกิน ไม่นานจะมีกลไกบางอย่างมาลดหรือทำลายอำนาจอันล้นพ้นนั้นลง

คนถือปืนก็ต้องฟังคนที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน คนที่ได้รับเลือกตั้งก็ต้องระวังมิให้ตัวสูญเสียความสนับสนุนนั้น จึงต้องไม่ประมาทกับสื่อมวลชน วงวิชาการ ผู้ที่มีความรู้และทักษะทางกฎหมาย

และท้ายที่สุดประชาชนแต่ละคนเขาก็ถ่วงดุลกันเองเพื่อมิให้ใครล่วงเกินคนอื่นได้มากจนเกินไปหรือนานเกินไป

แต่ขณะเดียวกันก็ควรทราบว่า ผู้ได้รับเลือกตั้งที่ไม่สร้างฐานอันลึกซึ้งไว้รองรับอำนาจของตน ก็จะผ่านมาและผ่านไป ปล่อยให้ระบบราชการ ตระกูลที่มีอิทธิพล และคนที่สามารถรวมเสียงของ W.A.S.P. หรือคนผิวขาวเชื่้อสายอังกฤษ (หรือไอริช) ที่นับถือคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ได้อย่างเป็นปึกแผ่น ซึ่งมีอำนาจที่ออกจะลึกซึ้งอยู่ในสังคมอเมริกัน ยึดอำนาจจริงไปแทน แต่ก็ต้องคานกับยิวอเมริกันที่ออกจากเรืองอำนาจอยู่เหมือนกัน

สามข้อนี้ทำให้เราถามตัวเองได้ว่า สหรัฐอเมริกามองสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้อย่างไร และถึงจุดหนึ่งคิดจะเข้าแทรกแซงเพื่อบังคับทิศทางของเหตุการณ์หรือไม่

ใครเตรียมจะโมโหผมว่า ทำไมไปให้ความสำคัญกับสหรัฐฯ มากนัก โปรดย้อนกลับไปอ่านข้อที่หนึ่ง

สหรัฐฯ คบค้าอย่างใกล้ชิดกับมหาอำมาตย์ในเมืองไทยมาตั้งแต่กระแสต่อต้านคอมมิวนิสต์แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นดินอเมริกัน คือในช่วงสงครามเย็น (The Cold War) นี่เอง ประวัติศาสตร์ที่บอกว่าคบกันมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ เสนอส่งช้างไปช่วยประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นรบในสงครามกลางเมืองและระหว่างสนธิสัญญาบาวริ่ง ก็ไม่ใช่ข้อเท็จ แต่ไม่ใช่รูปแบบของความร่วมมือทางการเมืองที่เรียกว่าผลประโยชน์ร่วมเหมือนในรัชกาลปัจจุบัน อย่างน้อยเจ้าฟ้ามงกุฎหรือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็มิได้มีพระประสูติกาลในสหรัฐอเมริกาเหมือนกับรัชกาลที่ ๙

พูดได้ครับว่า การเข้าร่วมรบกับสหรัฐฯ ในสงครามเย็นเป็นเหตุแห่งความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แต่ผมเสนอให้มองลึกลงไปว่าเหตุปัจจัยอะไรเล่าที่ทำให้เขาเลือกไทยและมหาอำมาตย์เป็นแนวร่วม

ภูมิรัฐศาสตร์นั่นก็อย่างหนึ่ง ตั้งฐานทัพที่เมืองไทยได้ก็รบได้ตลอดแนวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนตอนใต้ของจีน และตอนเหนือของประชาคมมุสลิมในแถบนี้ แต่ระบอบการปกครองที่ขณะนั้นเป็นช่วงอุ้มสมทางอำนาจระหว่างสถาบันกษัตริย์และกองทัพไทย (โดยเฉพาะหลังจากที่ร่วมโค่นล้มจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สำเร็จแล้ว) เป็นสิ่งยั่วยวนที่หวานหอมกว่า สหรัฐฯ จึงเดินนโยบายจูงใจผู้มีอำนาจทั้งสองสถาบันเข้าเป็นพวก โดยรับประกันความมั่นคงในอำนาจรัฐให้ หากสนับสนุนนโยบายสหรัฐฯ ตลอดทาง จะไม่มีกลุ่มอำนาจใดในประเทศไทยลุกขึ้นมาแก่งแย่งอำนาจกับเจ้าและทหารไทยได้เลย

เงื่อนไขเล็กน้อยว่าผู้มีอำนาจในเมืองไทยจะต้องไม่แผ่อำนาจไปถึงเพื่อนบ้านข้างเคียงนั้น รับได้สบายมาก เพราะเจตนาคือความอยู่รอดทางการเมืองเพียงเท่านั้นก่อน

เมื่อได้รับไฟเขียว รัฐบาลอำมาตย์ไทยภายใต้มหาอำมาตย์และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงเดินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงเหมือนยังอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยทหารถืออำนาจเด็ดขาดทั้งบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการแทนพระมหากษัตริย์ การประหารชีวิตคนอย่างครอง จันดาวงศ์ ศุภชัย ศรีสติ และการสังหารคนอย่าง จิตร ภูมิศักดิ์ เตียง ศิริขันธ์ และอดีตรัฐมนตรีทั้ง ๔ คนอย่าง จำลอง ดาวเรือง ทองเปลว ชลภูมิ ถวิล อุดล และทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เป็นต้น คือบางส่วนของการทำลายฝ่ายที่ไม่เอาสหรัฐฯ ในยุคนั้น

จนคนไทยที่ไม่รู้ความจริงลือลั่นกันว่า เป็นยุคที่ใช้อำนาจรัฐอย่างเด็ดขาดน่านับถือ ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายซ้ายก็ถูกประหาร ถูกตีตราว่าวางเพลิงโดยแม้โดยไม่มีหลักฐานก็ถูกประหาร โดยลืมคิดไปว่าหากพ่อแม่หรือลูกหลานของตัวเองถูกจับเป็นแพะอย่างนั้นบ้างจะรู้สึกอย่างไร จะเห็นคุณค่าความเป็นคนในระบอบประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นหรือไม่

สรุปแล้วมหาอำมาตย์บวกจอมพลสฤษดิ์ได้กลายเป็นตัวแบบของลูกน้องมหาอำนาจที่สหรัฐฯ พอใจ ผลประโยชน์ที่เอื้อกันทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยแผ่ขยายอำนาจและอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนประชาธิปไตยหรือสิ่งใดๆ ไม่อาจคานได้อีกต่อไป

อำนาจอันเป็นปึกแผ่นมั่นคงทำให้มหาอำมาตย์กลายสภาพเป็น “พระเอกตลอดกาล” และเป็นมาตรฐานแห่งความดีงามในเมืองไทยมาเนิ่นนาน

สหรัฐอเมริกาผู้พ่ายแพ้สงครามเวียดนามจนต้องถอนตัวจากภูมิภาคนี้อย่างอัปยศ จึงตัดสินใจ “แทงม้า” ตัวเดิมจนกระทั่งปัจจุบัน เพราะในฐานะมหาอำนาจที่มุ่งจัดระเบียบโลกให้สอดคล้องต่อผลประโยชน์ของตนในทุกด้าน สหรัฐฯ ย่อมพอใจในการรักษาอำนาจและครอบงำสังคมไทยของระบอบอำมาตยาธิปไตยไทย และเห็นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามีประสิทธิภาพยิ่ง

แต่ระบอบเผด็จการใดๆ ย่อมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ตามสังสารวัฏ โดยเฉพาะระบอบเผด็จการน้ำหนักมากอย่างของอำมาตย์ไทย ที่ได้โฆษณาชวนเชื่อขนาดหนักจนรับภาระทุกอย่างไว้บนบ่า ไม่มีใครจะรับแทนได้เลย ย่อมจะทรุดลงในที่สุดด้วยน้ำหนักของตนเอง เมื่อวันนั้นมาถึง ย่อมจะพบว่าสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวแบบอันดีวิเศษของโลกเสรีเริ่มจะกลายเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ขึ้นมา

สหรัฐอเมริกาก็มิได้โง่เขลา จึงคิดได้อย่างเร็วว่าฐานอำนาจที่ตนเคยวางน้ำหนักไว้ได้อย่างดีนั้น ใกล้จะถึงกาลกิริยาแล้ว คิดได้เช่นนั้นสหรัฐฯ ก็เริ่มจะหาทางเลือกใหม่

ทางเลือกใหม่จะเป็นประโยชน์โดยอ้อมกับขบวนการประชาธิปไตยของไทย โดยที่สหรัฐฯ เองก็อาจจะมิได้นึกฝัน

ผมถึงได้ส่งข้อความผ่านทวีตเตอร์มาหาพี่น้องชาวประชาธิปไตยเมื่อสองสามวันนี้ว่า ได้คุยกับคนสำคัญของสหรัฐฯ ไม่นานนี้ เขาเข้าใจเรามากขึ้นและทบทวนนโยบายที่ผ่านมาอย่างจริงจังขึ้น โอกาสที่มหาอำมาตย์ไทยหวังจะอาศัยกำลังจากสหรัฐฯ มาช่วยปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยในเมืองไทยก็จะมีน้อยลงตามลำดับ

เรื่องของกรรมสนองกรรมครับ.

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker