เมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว. และกลุ่มส.ส.เพื่อไทย ส่วนหนึ่งยื่นหนังสือถึงป.ป.ช. ให้สอบสวนคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันเกี่ยวกับการถือครองหุ้นในบริษัท
โดยตั้งข้อสังเกตว่ามีรัฐมนตรีหลายคนใช้วิธีโอน หรือขายหุ้นให้คนใกล้ชิด โดยเฉพาะลูกๆ
พร้อมนำคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองที่เล่นงานพ.ต.ท.ทักษิณ กรณีโอนและขายหุ้นให้ลูกตัวเอง มาเปรียบเทียบด้วย
เพราะผู้พิพากษามองว่าพ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้ถือครองหุ้นที่แท้จริงแม้หุ้นทั้งหมดจะอยู่ในชื่อลูกๆ ก็ตาม!?
จากหลักฐานที่นำมายื่นต่อป.ป.ช. มีการระบุชื่อรัฐมนตรีหลายคนว่ามีลักษณะการโอน หรือซื้อขายหุ้นเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีผิด
โดยยกตัวอย่างรายของคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งโอนหุ้นของตัวเองและสามีให้กับลูกๆ 3 คน มูลค่าเกือบๆ 300 ล้านบาท
ที่น่ากังขากว่านั้นในวันที่โอนหุ้น ลูกๆ 3 คนทำเรื่องกู้เงินจากพ่อตัวเองคนละ 95.8 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 287.4 ล้านบาท
มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเงินกู้ และมูลค่าหุ้นที่ซื้อ-ขายกันระหว่างพ่อ-แม่-ลูกนั้น ใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง!?
นอกจากนี้ส.ว.จอมแฉ และส.ส.เพื่อไทย ยังอ้างถึงรัฐมนตรีอีกหลายคนและคู่สมรสที่ใช้วิธีการเดียวกันนี้โอนหุ้นให้ลูกๆ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง เพื่อเลี่ยงปัญหาการถือครองหุ้นเกิน 5%
แต่ส่วนใหญ่ใช้วิธีโอนให้ดื้อๆ ไม่มีการทำนิติกรรมลูกยืมเงินพ่อ-แม่ เหมือนรายของคุณหญิงกัลยา
งานนี้จึงเป็นเผือกร้อนที่ตกใส่มือป.ป.ช. ว่าจะทำอย่าง ไรกับการร้องเรียนเรื่องดังกล่าว
และจะสอบสวนไปถึงขนาดไหน
เพราะหากดูคำพิพากษาศาลฎีกาฯ กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ เฉพาะกรณีซุกหุ้นแล้ว แทบแยกไม่ออกว่าต่างกับรัฐมนตรีอื่นๆ ตรงไหน
กรณีนี้ดูไปแล้วก็เหมือน "บูมเมอแรง" ที่เหวี่ยงฟาดหัวพ.ต.ท.ทักษิณ จนน็อกพื้น
และตอนนี้ "บูมเมอแรง" ที่ชื่อ "ซุกหุ้น" กำลังวนกลับมาหาเจ้าของ
หลบให้ดีก็แล้วกัน!?
รวมไปถึงองค์กรอิสระต้องมีคำตอบสวยๆ ไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อย หรือจะเล่น "กั๊ก" ไม่ออกอะไรเลย โดยซื้อเวลาไปเรื่อยๆ
เพราะตอนนี้ข้อหา "2 มาตรฐาน" กำลังแรงเสียด้วย