คอลัมน์ |
เป็นประชารัฐ |
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ |
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2751 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 5 มีนาคม 2010 |
โดย ลอย ลมบน |
คงไม่ปฏิเสธว่าบ้านเมืองอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพฤติกรรมของนักการเมือง โดยเฉพาะเรื่องของประชาธิปไตยที่วันนี้ก็ยังมีคนสงสัยมากมายว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆจะไปได้อีกนานแค่ไหน
เพราะไม่ใช่แค่เรื่อง 2 มาตรฐานที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองและทั่วโลกเท่านั้น
ยังมีอำนาจนอกระบบ อำนาจของกลุ่มอำมาตย์ และอำนาจของกองทัพ ซึ่งอยู่เหนืออำนาจประชาธิปไตยปรกติที่คนส่วนใหญ่พยายามเชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยของประชาชนและเพื่อประชาชน
แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตยในวันนี้แน่นอน เพราะรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดก็เต็มไปด้วยร่างเงาของเผด็จการ ที่ก่อนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับอัปยศนี้ประกาศไว้ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้พรรคการเมืองเหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเท่ากับไม่ต้องการให้ประชาชนมีอำนาจที่จะกำหนดอนาคตของตนเองและบ้านเมืองนั่นเอง
การโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและประชาชนเลือกเข้ามาจึงมีการรวมหัวกันอย่างเป็นกระบวนการ และทุกอย่างก็มีบทสรุปที่การทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
จากวันนั้นถึงวันนี้เรื่องรัฐประหารหรือวงจรอุบาทว์ก็ยังพูดกันตลอดเวลา เพราะทุกคนไม่เชื่อว่าจะไม่มี ไม่ว่าผู้นำกองทัพหน้าไหนจะออกมายืนยันก็ไม่มีใครเชื่อ
เพราะแม้แต่นักการเมืองที่มาจากประชาชนก็ยังฝักใฝ่และสนับสนุนให้มีการใช้กำลังในการแก้ปัญหาบ้านเมือง
แม้แต่ในสภาผู้แทนราษฎรที่พยายามตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อหามาตรการป้องกันการรัฐประหารก็ยังล่ม ไม่สามารถเดินหน้าไปได้ถึง 4 ครั้ง เพราะองค์ประชุมไม่ครบ คือมี ส.ส. ประชุมไม่ถึงครึ่งหนึ่ง
ประชาชนจะหน้าใส หน้าดำ รากหญ้า หรือรากเหง้าจากไหน จึงไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะไม่มีรัฐประหารอีก
ยิ่งพฤติกรรมล่าสุดที่นำมาแฉให้เห็นถึงนักการเมืองที่ฝักใฝ่การปฏิวัติรัฐประหาร คือกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊คของตัวเองเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นผลดีส่วนหนึ่งของการปฏิวัติรัฐประหาร
แม้จะเป็นความเห็นส่วนตัว แต่นายกรณ์ก็เป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เป็นหนึ่งในผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ที่เก่าแก่ที่สุด ทั้งยังเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลที่พยายามยืนยันว่าเป็นรัฐบาลที่มาด้วยความถูกต้องชอบธรรม
ไม่ใช่รัฐบาลอำมาตย์อุ้มสม หรือกองทัพอุ้มสม!
แม้จะไปจัดตั้งกันในค่ายทหารก็ตาม!
แม้ว่านายกรณ์จะมีความเคียดแค้น พ.ต.ท.ทักษิณเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่ควรแสดงพฤติกรรมเห็นดีเห็นงามกับการทำรัฐประหาร ซึ่งทำให้พรรคประชาธิปัตย์พลอยมัวหมองไปด้วย เพราะผู้คนอาจเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็เห็นดีเห็นชอบกับพวกเผด็จการเช่นกัน
ขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามไม่ให้บุคคลล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เรื่องนี้คงไม่ต้องขุดบรรพบุรุษใครออกมาประณาม เพราะกว่า 77 ปีที่ประชาธิปไตยไทยต้องล้มคว่ำล้มหงายก็เพราะการทำรัฐประหารที่มากที่สุดในโลกถึง 11 ครั้ง
ยังไม่รวมการทำไม่สำเร็จที่ถือว่าเป็นกบฏอีกนับสิบครั้งเช่นกัน
อย่างนี้น่ามอบรางวัล “นักการเมืองหัวใจทรราช” หรือ “หัวใจเผด็จการ” ให้จริงๆ!