| คอลัมน์ |
 คิดเหนือข่าว |
| จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ |
| ปีที่ 11 ฉบับที่ 2740 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2010 |
| โดย เรืองยศ จันทรคีรี |
คุณแก้วสรร อติโพธิ ความจริงเขาก็เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์อะไรแปลกๆ ในช่วงที่ขับโค่นรัฐบาลชุดไทยรักไทยก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีผลงานเกี่ยวกับวาทกรรมหลายประการที่พยายามชี้ให้เห็นความไม่ชอบธรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
วาทกรรมปลาหมึกยักษ์พันมือ ซึ่งหมายถึงการมีมือมากมายที่ยื่นยาวไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์รอบๆตัว จากวาทกรรมหรือทฤษฎีปลาหมึกยักษ์พันมือถ้าเราจะถือมาตรฐานทางวุฒิภาวะของท่าน คตส. ผู้นี้ก็อาจเชื่อมโยงมาเป็นเหตุเป็นผลหรือเป็นตรรกะในระดับของแก้วสรร ซึ่งมีบางคนเรียกว่า “แก้วหน้าม้า” จึงทำให้เกิดอีกวาทกรรมหรือทฤษฎีที่โคตรฮือฮาในขณะนี้คือ “วัวกินหญ้าต้องยึดทั้งตัว”
ความหมายของแก้วสรร อติโพธิ ซึ่งเป็นไปอย่างที่เข้าใจทั่วกันสำหรับผู้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เขาตั้งความเชื่อหรือไม่ได้เชื่อก็ต้องว่าไปตามบทบาทของตัวเองที่เป็นหมากเดินอีกตาสำคัญบนกระดานหมากรุกของการโค่นล้มทางอำนาจครั้งนี้ แก้วสรรมิได้เล่นบทเพียงเป็นตัวเบี้ยธรรมดาๆ หากแต่เป็นตัวม้าที่สามารถเดินกระโดดแบบแก้วหน้าม้าข้ามช่องไปได้ ตรงนี้คงมิใช่เพียงเหตุผลที่ว่า “อติโพธิ” เป็นสายสกุลที่ต่อเชื่อมมาจาก “ศรลัมภ์” ซึ่งมีต้นรากหรือสาแหรกมาจากพวกพระยาพานทองทั้งหลายแหล่สืบมาจากยุคต้นรัตนโกสินทร์
ความคิดและความเชื่อของแก้วสรรคงไม่ใช่เหตุผลของต้นตระกูลที่เห็นตัวเองเป็นคนไทยมากกว่าประชาชนคนอื่นๆ หากแต่เป็นพื้นฐาน กระบวนทัศน์เกี่ยวกับเรื่องอำนาจและจุดยืนในทางการเมืองของเขาเป็นหลัก คือเกิดมาเชื่ออย่างนี้และคิดอย่างนี้ ฉะนั้น คตส. อย่างแก้วสรรถึงคิดไปในทางอื่นไม่ได้ หากกล่าวเปรียบเทียบตามความจริง แนวคิดวัวกินหญ้าแล้วยึดทั้งตัวของแก้วสรรอาจจะโดดเด่นเหนือกว่านาม ยิ้มแย้ม และสัก กอแสงเรือง สองบุรุษผู้ถือตนเป็นมาตรฐานแห่งระบบยุติธรรมของสยามในยามนี้...
ความเชื่อจากวาทกรรมปลาหมึกยักษ์พันมือ ซึ่งหมายถึงการทุจริตอย่างรอบด้าน อย่างซับซ้อน และอย่างทั่วถึง ข้อนี้ดูจะเป็นคุณสมบัติของ คตส. ที่ได้รับการแต่งตั้งมาจาก คมช. ทำให้ไม่แปลกอะไรสำหรับทฤษฎีที่วัวกินหญ้าแล้วจำเป็นต้องยึดทั้งตัว ตรรกะดังกล่าวเป็นการอธิบาย สร้างเหตุผลที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อบ่งบอกความชอบธรรมว่าทำไมจะต้องยึดทรัพย์ของทักษิณให้ได้ครบทั้งกระบิ ถ้าเราฟังเผินๆก็เหมือนกับมีเหตุผลอยู่ไม่น้อยเลย อาจแปลได้ว่าแม้จะคอร์รัปชันสักสลึงเดียวก็ต้องยึดให้ครบทั้ง 7.6 หมื่นล้านบาท...
ตรรกะของทฤษฎีวัวกินหญ้าแล้วต้องยึดทั้งตัว ถ้าเข้าใจไปอย่างนี้มันก็ไม่ได้ผิดความหมายของแก้วสรรแต่ประการใด? อาจบอกว่าเป็นเรื่องที่เคร่งครัดเข้มงวด เป็นระบบคุณธรรมที่ถี่ถ้วน ไม่มียกเว้นความชั่วหรือข้อผิดพลาดใดๆในโลกนี้ ขณะเดียวกันยังบอกได้ถึงการเป็นแนวทางที่วิปริตและดัดจริตตอแหลเป็นอย่างยิ่ง...ผมคิดว่ามันเป็นอย่างนี้ อาจจะไม่ถูกใจคุณแก้วสรรหรือคุณนามไปบ้างก็อย่าโกรธนะครับ แล้วอย่ามาหาว่าผมจะมีเอี่ยวอยู่ใน 7.6 หมื่นล้านบาท?
วันก่อนจากทฤษฎีนี้ของแก้วสรร ก็เห็นพานทองแท้ ชินวัตร ออกมาโต้เรื่องนี้ มองว่าวัวกินหญ้าแล้วยึดทั้งตัวก็คล้ายการลักทรัพย์ ถ้าหากกระทำคนเดียว แต่ถ้าร่วมกันหลายคนเขาเรียกให้เป็นการปล้นทรัพย์...ผมไม่มีความเห็นเพิ่มเติมกับการตอบโต้ของพานทองแท้ เท่าที่ฟังมาเห็นคุณนาม (คู่แฝดผู้นำเขมรแดงรายหนึ่ง) ได้ตอกกลับว่า “พานทองแท้คงรู้สึกเสียดายทรัพย์สินที่จะถูกยึดถึงได้ออกมาตอบโต้เช่นนั้น?” ข้อนี้คุณนามไม่น่าตั้งข้อสงสัยขึ้นมาเลย ทรัพย์สินอะไรที่เป็นของตัวเอง แล้วจะถูกยึดไปโดยการวินิจฉัยที่คลุมเครือ ไม่กระจ่างชัด ใครๆก็เสียดายทั้งนั้นแหละครับ...ผมว่าเป็นคุณนามก็เช่นเดียวกัน! หรือคุณนามไม่เสียดาย มีแต่อยากได้?
วันก่อนได้มีโอกาสอ่านฝ่ายอัยการแจงปิดคำฟ้องและข้อกฎหมาย บอกเหตุผลทำไมต้องยึดทรัพย์ “แม้ว” ฟังๆแล้วผมแอบมีคำถามอยู่ในใจเหมือนกัน โดยเฉพาะสาระเกี่ยวกับ “การตรวจสอบพฤติกรรมปกปิดอำพรางการถือหุ้น”
แถลงการณ์ของฝ่ายอัยการในตอนหนึ่งมีสาระดังนี้ “การพิสูจน์คดีนี้ไม่อาจสืบจากปากคำบุคคลกระจ่างได้ เพราะโดยสภาพจะเป็นการติดตามสืบสวนจากบัญชีที่ซับซ้อนมาก ต้องตามรอยทั้งเงินซื้อหุ้น โอนหุ้น และเงินปันผลหุ้น หาชื่อเจ้าของบัญชีและโยงใยจับผู้ต้องสงสัย...ทำให้เห็นแต่เพียงตัวหุ้นโอนถ่ายไปมาผ่านบัญชีต่างๆเท่านั้น กรณีเช่นนี้จะตรวจสอบได้ยากมาก”
ผมยกข้อความดังกล่าวมา ไม่ได้มีความเห็นอะไร...แต่อยากเสนอทฤษฎีวัวกินหญ้าเสร็จแล้วค่อยมีคนไปล้อมรั้วทีหลัง พอล้อมเสร็จก็บอกว่าอาณาเขตจำเพาะอยู่ตรงนี้ แบบนี้เองถึงได้เกิดทฤษฎียึดวัวติดตามมาคือ ถึงวัวไปกินหญ้าที่ไหนก็ยึดได้ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับพวกล้อมรั้ว!
