บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กลัวทักษิิณ!

ที่มา บางกอกทูเดย์

ทักษิณ ชินวัตร” ถูกทำให้เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ไปตั้งแต่วันที่19 กันยายน 2549 แต่ก็ยังไม่พ้นเวรพ้นกรรมจากการตามล้างตามล่าของฝ่ายที่กลัวว่า...ทักษิณ จะกลับมาเมื่อกลัวทักษิณก็ต้องหาทางขจัดให้ได้ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยการอ้างเหตุต่างๆ นานา...เพื่อให้คนรู้สึกเกลียดชังทักษิณ...เพื่อให้ลืมอดีตผู้นำที่เคยครองอำนาจมาร่วม 6 ปีแต่การอ้างเหตุต่างๆ นั้น หาข้อพิสูจน์อะไรที่ชัดเจนได้แค่ไหน เมื่อล่วงเวลาไปกว่า 3 ปี ประชาชนที่เฝ้าดูคงคิดได้เอง...ซึ่งก็อาจจะมีบางส่วนที่สงสัยว่า...จริงๆ แล้วทักษิณทำอะไรผิดเพราะการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยทั้งระบบเพื่อกำจัดทักษิณไม่ให้อยู่ในอำนาจ

ต่อไปนั้น ควรต้องพิสูจน์ตามมาให้ได้ว่า...มีการกระทำความผิดอย่างชัดเจนโดยปราศจากข้อสงสัย ดังเช่นที่ยกมากล่าวหากันผลการพิสูจน์ที่ผ่านมา...ยังมีนํ้าหนักที่น้อยเกินไปหรือเปล่า กับสิ่งที่ประชาชนต้องเสียไป ทั้งเวลา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ระบบความสามัคคีในชาติแถมยังได้ความแตกแยกในสังคมตามมาอีกต่างหากประชาชนบางภาคส่วนจึงเริ่มจะรู้สึกว่า...การกล่าวหาที่ผ่านมานั้น ไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไรนักแถมยังรู้สึกเพิ่มเติมต่อไปว่า...ความไม่เป็นธรรมนั้น มีการ

เลือกปฏิบัติกับบุคคลบางกลุ่มที่ไม่ใช่พวกด้วยอยากให้ประเทศชาติมีความสามัคคี...แต่ปกครองแบบแบ่งแยก เลือกข้างเลือกพวกใช้ระบบที่เรียกว่า “สองมาตรฐาน”หรือเลือกปฏิบัติอย่างนี้ก็คงทำให้มีความมั่นคงในชาติไม่ได้ เพราะประชาชนไม่ได้กินหญ้าเมื่อคนกลุ่มหนึ่งยังกลัวทักษิณก็คงต้องหาทางขจัดกันต่อไป...ด้วยเหตุที่บ่งบอกออกมาให้เห็นรางๆ แล้วว่า...ถ้าทักษิณกลับมาก็คงกระทบกระเทือนความมั่นคงหรือเสถียรภาพของรัฐบาลปัจจุบันเป็นอย่างมากใครบาง

คนหรือหลายคนคงตระหนักแล้วก็คงตระหนกตกใจพร้อมทั้งรู้สึกกลัวการสูญเสียอำนาจที่ถือครองอยู่เพราะคงประเมินได้ว่า...หากยุบสภาแล้วให้ประชาชนเลือกตัวแทนกันอีกครั้งประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเลือกใครหรือพรรคใดให้มาบริหารประเทศทุกคนคงรู้ว่า...เสียงประชาชนคือ “ เ สียงสวรรค์”และคงรู้ถึงความรู้สึกของเสียงส่วนใหญ่จึงต้องหาทางครองอำนาจต่อไป ไม่อยากคืนอำนาจให้กับประชาชนถึงกับยกเหตุผลมาอ้างว่า สุจริตไม่โกงกิน ไม่หวงแหน

อำนาจ แต่ปากที่พ่นคำพูดออกมานั้นจะตรงกับจิตใจที่ประหวั่นพรั่นพรึงหรือไม่ขาเท่านั้นที่จะแสดงออกมาให้เห็นในลักษณะ “ปากกล้าขาสั่น” นั่นเองปัญหาทุกวันนี้...ถ้ามีการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน แล้วให้ประชาชนเป็นคนเลือกตามวิถีทางประชาธิปไตยความสมานฉันท์ก็จะได้กลับมาแต่กลัวกันมากก็เลยอ้างว่า...ต้องให้สมานฉันท์ก่อนจึงจะคืนอำนาจให้ประชาชนพูดเหมือนกับไม่รู้ว่า...การไม่ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนนั่นแหละ คือ เหตุผลหลักที่ทำให้เกิดการ

แตกแยกอยู่ทุกวันนี้การกล่าวหาเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ยังคงเป็นความคาดหวังของใครบางคนที่อยากจะหยุดทักษิณ เช่น การใช้เรื่องยึดทรัพย์ครอบครัวคุณทักษิณ โดยเฉพาะทรพั ยท์ ไี่ดม้ าจากการขายหนุ้ ใหเ้ทมาเสก็มีการใช้อำนาจของกฎหมาย ป.ป.ช.ไปตรวจสอบทรัพย์สินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าวซึ่งมีมูลค่าประมาณ 76,000 ลา้นบาทโดยตั้งข้อกล่าวหาว่า...เป็นทรัพย์ที่ได้มาในลักษณะรํ่ารวยผิดปกติรํ่ารวยผิดปกติ หมายถึง การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีทรัพย์สิน

เพิ่มขึ้นมากผิดปกติในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้มาโดยชอบอาศัยข้อกฎหมายของ ป.ป.ช.แล้วตั้งข้อกล่าวหาว่าเงินขายหุ้น 76,000 ล้านบาท(รวมเงินปันผล) นั้น...เป็นเงินที่ควรถูกยึดเข้าหลวง เพราะถือว่า รํ่ารวยผิดปกติปัญหาตรงนี้อาจจะมีผลกระทบตามมา เพราะถ้าใครดูบัญชีเป็น ก็คงทราบว่าหุ้นประมาณ 1,487 ล้านหุ้น ของครอบครัวคุณทักษิณที่ขายให้เทมาเส็กเมื่อวันที่23 มกราคม 2549 นั้น คือ หุ้นชินคอร์ปหุ้นชินคอร์ปที่ขาย

นั้น...ครอบครัวคุณทักษิณถือครองมาตั้งแต่ก่อนเล่นการเมือง ด้วยจำนวนที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลง ยกเว้นเพียงราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวขึ้นลงตามราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้นเมื่อทราบว่าหุ้นชินคอร์ปมีมาแต่เดิม...จำนวนไม่ได้เพิ่มขึ้น...แต่ต่อมาภายหลังได้ขายให้กับเทมาเส็ก จนได้เงินกว่า7 หมื่นล้านบาทก็เป็นการเพิ่มขึ้นในมูลค่าของทรัพย์สินหาใช่การเพิ่มขึ้นในตัวทรัพย์สินไม่ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ดี...เพราะกฎหมาย ป.ป.ช. เกี่ยวกับการรํ่ารวยผิดปกตินั้น

เป็นเรื่องของจำนวนทรัพย์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติมิใช่ทรัพย์มีจำนวนเท่าเดิมแล้วต่อมาทรัพย์นั้นมีคนมาซื้อในราคาที่สูงขึ้นก็กล่าวหาว่า รํ่ารวยผิดปกติถ้ามองอย่างนี้หลายคนก็อาจจะคิดว่า...บางคนคงอิจฉาคุณทักษิณ หรือบางคนกลัวคุณทักษิณจะกลับมาจึงคิดว่า...ถ้าหมดเงิน ประชาชนก็คงไม่นิยม เมื่อไม่นิยม ก็คงกลับมาไม่ได้ประชาชนก็คงจะลืมคุณทักษิณการตั้งข้อกล่าวหาเพื่อยึดเงินที่มาจากการขายหุ้น ถ้ามองเฉพาะจำ นวนหุ้นก็น่าจะอ่อนไปด้วยหลักการความ

คิดเพราะบ่งบอกไม่ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างไร มีเพียงแค่ราคาขายต่อหุ้นเท่านั้นที่ทำให้มูลค่าขายเพิ่มขึ้นถ้าย้อนไปในวันที่ซื้อขายหุ้นเกิดราคาขณะนั้นอยู่ที่ 24.75 บาทต่อหุ้น แทนที่จะเป็น 49.25 บาทต่อหุ้น เงินที่ขายหุ้นโดยรวมก็คงลดประมาณครึ่งหนึ่งวันนี้ก็คงตั้งข้อกล่าวหาว่า...คุณทักษิณรํ่ารวยผิดปกติด้วยเงินประมาณ 38,000ล้านบาทหรือถ้าวันนั้นขายหุ้นชินคอร์ปในราคาหุ้นละ 98.50 บาท เงินขายหุ้นโดยรวมที่จะตั้งข้อกล่าวหาเพื่อยึดทรัพย์ก็คงจะ

เป็นประมาณ 152,000 ล้านบาท ใช่หรือไม่ด้วยตัวอย่างที่สมมติราคาหุ้นให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้น ก็คงเพียงพอให้พี่น้องผู้อ่านได้มีหลักคิดแล้วใช่ไหมครับว่า...การยึดทรัพย์ครั้งนี้มีหลักเกณฑ์ในการคิดมูลค่าความเสียหายเป็นไปโดยชอบหรือไม่อ่านมาถึงตรงนี้...ยังคิดว่า “ทฤษฎีควายกินหญ้า...ม้ากินแกลบ” นั้นจะใช้ได้หรือไม่ กับข้อกล่าวหารํ่ารวยผิดปกติแล้วจะยึดทรัพย์จากการขายหุ้นทั้งหมดพี่น้องผู้อ่านลองไปคิดดูก็แล้วกันถ้าส่วนหนึ่งของเงินที่จะยึดนั้นมีเงินปันผลด้วย

คนที่ดึงดันออกมาอธิบายทฤษฎีควายกินหญ้า ม้ากินแกลบ ต่อไปก็น่าจะต้องพิจารณาให้ครบถ้วนตามไปด้วยเพราะชินคอร์ปเป็นบริษัทมหาชนที่มีผู้ถือหุ้นรายอื่นด้วยตามหลักการจ่ายเงินปันผล...บริษัทจะต้องจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นทุกๆ คนด้วยจำนวนที่เท่ากัน จึงเป็นการยุติธรรมมิใช่หรือ ที่จะต้องตามไปเรียกเก็บเงินปันผลกับผู้ถือหุ้นรายอื่นที่ได้รับไปในงวดเดียวกันกับครอบครัวคุณทักษิณและที่สำ คัญ...บริษัทที่เป็นคู่กรณีเรื่องแปรสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามติคือ เอ

ไอเอส ซึ่งเป็นบริษัทที่ชินคอร์ปถือหุ้นเอไอเอสจึงเป็นคู่กรณีโดยตรงกับทีโอทีที่มีข้อพิพาทกันอยู่ในขณะนี้ และเรื่องยังอยู่ที่อนุญาโตตุลาการ หาใช่ชินคอร์ปไม่ที่เขียนมาข้างต้น...ไม่ใช่จะมองว่าที่ผ่านมาคุณทักษิณ ทำอะไรก็ถูกไปทั้งหมด แต่เห็นว่า การ “กลัวคุณทักษิณ” นั้นก็ควรจะตั้งอยู่บนหลักการของเหตุและผลเพราะคุณทักษิณ ก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิได้รับความเป็นธรรม...ใช่ไหมครับ?! 

เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker