เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 12 กุมภาพันธ์ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หัวหน้ากลุ่ม กทม. ภาค กทม. พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวที่ห้องอาหารจีน โรงแรมเซ็นทรัล ลาดพร้าว เพื่อเปิดใจถึงกรณีที่ถูก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย วิพากษ์วิจารณ์ผ่าน ส.ส.ในกลุ่ม กทม.อย่างรุนแรงว่าเข้าไปมีบทบาทในการพิจารณาเรื่องการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจและพยายามสกัดไม่ให้ ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทย
โดยมีนายภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตโฆษกพรรคไทยรักไทย นายสุนัย เศรษฐบุญสร้าง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายยุรนันท์ ภมรมนตรี อดีตผู้สมัครผู้ว่า กทม. นายอุดมเดช รัตนเสถียร ส.ส.นนทบุรี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ แกนนำ ส.ส.กทม. นายอนุสรณ์ ปั้นทอง ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย มาร่วมให้กำลังใจ
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ตอนแรกก็ไม่คิดจะตอบโต้ แต่เมื่อดูแล้วยังมีการปล่อยข่าว โดยแหล่งข่าวอย่างต่อเนื่อง จนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะข่าวที่ออกมาทำให้เกิดความเสียหายกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้าตนเข้าไปยุ่งจริงคงไม่เป็นไร แต่นี่เพราะตนติดโทษอยู่ในบ้านเลขที่ 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ทำให้ตนไม่สามารถเข้าไปทำอะไรหรือพูดอะไรได้ แต่เหมือนกลับว่ายิ่งพูดอะไรไม่ได้ก็ยิ่งโดน
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาคิดว่ายอมเป็นเหยื่อสักครั้งคงจบ แต่นี่ไม่จบ ทั้งๆ ก็ไม่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็กลัวว่าต่อไปหากมีใครผิดหวังจากเรื่องนี้จะโยนมาที่ตรงนี้อีก ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายไปถึงพรรคเพื่อไทย เมื่อเราไม่ยุ่งด้วยก็ไม่ควรมีใครมายุ่งกับเรา และการที่ ส.ส. ส.ก.และ ส.ข.มาพบตนนั้นก็เป็นเพียงการไปมาหาสู่ เพราะผูกพันกันมากว่า 10 ปี ไม่ใช่การคิดจะตั้งกลุ่มตั้งก๊วนเพื่อสร้างปัญหาให้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเมื่อเราไม่สามารถช่วยเข้าไปบริหารงานพรรคได้ เราก็ยังรักและเชียร์อยู่เท่านั้น ทุกคนเข้ามาก็มาคุยเรื่องปัญหาในพื้นที่และการทำงานทั้งสิ้น
"ถ้าใครโดนอย่างนี้ก็คงเสียใจ ไม่เชื่อก็ลองเปลี่ยนจาก ... (จุด จุด จุด) สุดารัตน์ ไปเป็นชื่อตัวเอง เป็นใครโดนอย่างนี้ก็ต้องเสียใจ จึงอยากจะบอกว่าอย่าดึงเราไปเกี่ยวเลย การมาบอกว่าเราอยากเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงนั้นมันเป็นไปได้ที่ไหน และก็ไม่เคยคิดจะเสนอหนาไปเสนอแนะพรรคว่ควรชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย และถึงแม้ตัวเองจะเป็นผู้หญิงก็ไม่เคยกระทำอะไรใครลับหลัง แต่นี้กลับมีการมาปล่อยข่าวโดยบอกว่าเป็นแหล่งข่าว ซึ่งตอนอยู่พรรคไทยรักไทยก็เคยคัดค้านความคิดเห็นคนในพรรคกันจนเกือบจะมีวิวาทะกันมาแล้ว ซึ่งตอนที่ดิฉันอยู่พรรคพลังธรรม แล้วพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นรองนายกรัฐมนตรี ดิฉันเคยประนามนักการเมืองคนหนึ่งที่ชอบทำอะไรลับหลังมาครั้งหนึ่งแล้วว่า ให้ไปเอาผ้าถุงมาใส่ วันนี้ไม่อยากกลับไปกล่าวคำพูดรุนแรงแบบนั้นอีก" คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
เมื่อถามว่าเพราะเหตุใด ร.ต.อ.เฉลิม จึงปักใจเชื่อว่าคุณหญิงสุดารัตน์ อยู่เบื่องหลังการสกัดกั้นไม่ให้ร.ต.อ.เฉลิม ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวและไม่เห็นความสำคัญว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องเสนอชื่อใครหรือไม่เสนอชื่อใคร เพราะพรรคเพื่อไทยมีผู้บริหารอยู่แล้ว ซึ่งปัญหาอาจจะเกิดจากจุดเล็กๆ ที่ ส.ส.กทม.คนหนึ่งไปตอบคำถามสื่อมวลชนว่าบุคคลเอ กับบุคคลบี ใครเหมาะสมกว่ากันเท่านั้น ซึ่งตนก็ได้สอบถามแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่มติภาค กทม. และเป็นความคิดเห็นส่วนตัว
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ตนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานการเมืองมานานแล้ว เพราะได้หันไปทำงานเพื่อสังคมอย่างอื่น ล่าสุดก็ได้หารือกับอดีต 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นักวิชาการและผู้มีความรู้หลายคนตั้งสถาบันสร้างสานอนาคตไทย โดยมีนายสุนัย เศรษฐบุญสร้าง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นผู้อำนวยการสถาบัน เพื่อหาหนทางให้ประเทศกลับมาสงบสุข
ด้านนายภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวว่าสถาบันสร้างสานอนาคตไทยนั้นจะมีทั้งสมาชิก 111 และ 109 บางส่วน รวมทั้งนักวิชาการและบุคคลที่มีศักภาพมาร่วมงานกัน โดยอาศัยศักยภาพและคอนเนกชั่นของแต่ละคนที่มีในการช่วยทำให้สถาบันนี้เป็นศูนย์ในการศึกษาและวิเคระห์สถานการณ์การเมืองให้เราได้มองเห็นสภาพบ้านเมืองปัจจุบันได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าในอดี 2-3 เดือนข้างหน้าพวกเราจะมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งพวกเราเห็นว่าระยะหลังบุคคลที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองหลายคนเริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมือง และบางคนร่วมก่อตั้งรัฐบาลได้ การเข้ามาแสดงบทบาทของพวกเราก็ไม่น่าจะเป็นอะไร นอกจากนี้บ้านเมืองในขณะนี้เต็มไปด้วยปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นมากมาย สถาบันสร้างสานอนาคตไทยก็จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันชาติและเป็นสื่อให้ข้าราชการและประชาชนที่ไม่พอใจต่อการทุจริตได้มาแจ้งข้อมูลที่มี คล้ายกับปู่โสมเฝ้าทรัพย์ของประเทศ
"สถาบันสร้างสานอนาคตไทย จะเป็นศูนย์ศึกษาและหาทางออกให้ประเทศทุกด้าน ซึ่งเมื่อใดที่เราพ้นพันธะทางการเมืองที่จองจำเราอยู่ และพิสูจน์ให้เห็นว่า 5 ปีที่จองจำเราไว้ไม่สามารถหยุดความปรารถนาที่จะช่วยเหลือประเทศได้ วันนี้พวกตนรับโทษมา 2 ปีกว่าแล้ว เหลือเวลาอีก 2 ปีนิดๆ ซึ่งเวลา 2 ปีนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อถึงวันนั้นพวกเราจะได้พร้อมกลับเข้าไปแสดงบทบาทอีกครั้ง หากประชาชนเปิดโอกาสให้ เพราะวันนี้รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเลย นายกรัฐมนตรีก็บริหารประเทศด้วยการปาฐกถา สารพัดโฆษกของรัฐบาลก็ออกมาพูดข้อมูลที่ได้มาจากการพูดคุยกันเท่านั้น หากรัฐบาลต้องการให้บ้านเมืองสมานฉันท์ก็ควรลดการพูดแล้วบริหารประเทศด้วยหลักการและความยุติธรรม" นายภูมิธรรมกล่าว
ด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทยระหว่างร.ต.อ.เฉลิม กับกลุ่มกรุงเทพมหานคร(กทม.) ว่า เป็นเรื่องที่อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนในทางข่าว แต่ทุกอย่างจบเรียบร้อยแล้ว นักการเมืองอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างทางความคิดแต่เมื่อมีการพูดคุยกันก็จบ ต้องยอมรับในเหตุผลซึ่งกันและกัน ไม่ควรนำไปขยายผลให้เกิดความขัดแย้ง เพราะพรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองที่ต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชน ควรเอาความรู้ความสามารถมาสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคและรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
"พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ไม่มีเวลาจะมาขัดแย้งกันเอง ควรจะหันหน้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลและเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นมติของที่ประชุมพรรคเท่านั้น และที่สำคัญคือบุคคลที่จะถูกเสนอชื่อจะต้องเป็นส.ส.และต้องมีวัยวุฒิ คุณวุฒิ รวมทั้งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายและประชาชน" นายพร้อมพงศ์กล่าว
