ในสถานการณ์การเมืองที่คาบลูกคาบดอกอย่างนี้ ผู้นำประเทศจึงต้องได้รับการคุ้มครองป้องภัยเป็นอย่างดี ก็ขนาดว่าบ้านพักที่มีตำรวจดูแลยังโดนปาอึได้
แม้จะเป็นการข่มขู่สร้างความไหวหวั่น ดังนั้น ใครจะไปรู้ได้ว่าความปลอดภัยของชีวิตจะเป็นไปเช่นไร
การที่มีการปรับรูปแบบ และเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
และสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้รับผิดชอบโดยตรง
เพราะแม้ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ ดูแลในฐานะรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง
แต่เนื่องจากมีภารกิจที่กว้างขวางมากกว่านี้
หรือแม้กระทั่งตัวเองก็เป็น 1 ในเป้าหมายด้วย การตั้ง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เข้ามาร่วมรับผิดชอบจึงน่าจะเหมาะสมแล้ว
และคงไม่ใช่เรื่องลูบหน้าปะจมูกแต่อย่างใด
แต่ช่วยกันทำงานมากกว่า
สิ่งที่ต้องยอมรับในความเป็นจริงก็คือ สภาพของทหารและตำรวจนั้นมีความต่างกันมาก
ทหารในยุคที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. รับผิดชอบนั้นมีความเป็นเอกภาพมากกว่าตำรวจเยอะ
ยิ่งตำรวจยังไม่มี ผบ.ตร.ตัวจริงเสียงจริง ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
เป็นที่ทราบกันดีว่าแม้จะมีการโยกย้ายแต่งตั้งกันทั่วประเทศ
แต่ตำรวจนั้นยังไม่นิ่ง ยังมีเกียร์ว่าง
ที่สำคัญ ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังรับใช้อำนาจเก่าอยู่
นี่คือสิ่งที่หลายฝ่ายยังวิตกกังวลว่าถ้าตำรวจยังไม่เป็นเอกภาพ ยังไม่ทำงานเพื่อชาติประชาชนจริงๆเกรงว่าจะเกิดปัญหาในสถานการณ์อย่างนี้
พูดง่ายๆว่าถ้าเกิดเหตุชุมนุมใหญ่จะรับมือได้หรือ
โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯนั้นต้องพึงระมัดระวังและต้องทำให้ตำรวจทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ เกียร์ว่างเป็นอันขาด
การแต่งตั้ง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ เป็น ผบช.น.นั้น ในความเป็นจริงแล้วแรงผลักดันสำคัญน่าจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสีเขียวมากกว่า "เทพประทาน"
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้มีความมั่นคงบนเก้าอี้มากพอสมควร ยิ่งพลิกปูมประวัติก็ไม่ใช่ธรรมดา
แต่ในหน้าที่รับผิดชอบยังไม่เคยพิสูจน์ฝีมือว่าเด็ดดวงแค่ไหน
หลังจากที่มีการปาอึบ้านนายกฯจึงถูกตั้งคำถามว่า หย่อนยานในความรับผิดชอบมากกว่าแค่ไหน
เพราะแค่นี้ยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ได้
เหนืออื่นใดการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับรองผู้การ-สว.ที่ผ่านมา
ปรากฏว่าเกิดปัญหาและล่าช้าที่สุด จนกระทั่งมีการร้องเรียนถึงนายกฯว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีการเซ็งลี้เก้าอี้กันยุบยับไปหมด
จนกระทั่งต้องตั้ง พล.ต.อ.ธานีเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้ รับทรัพย์กันเละไปหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและเป็นปัญหามาตลอด
หาก "นาย" กินเงินลูกน้องเพื่อไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง
แม้จะได้ยศและตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ความรู้สึกในใจเป็นอย่างไรคงไม่ต้องบอก
หากนายผลักดันลูกน้องเพราะเป็นคนใกล้ชิด หรือเห็นว่ามีความรู้ความสามารถยังพอทำเนา แต่ถ้ามาในลักษณะนี้ไม่ดีแน่
ยิ่งพื้นที่กรุงเทพฯที่เป็นเมืองใหญ่ ปัญหามาก ผลประโยชน์มหาศาล หากไม่สามารถบังคับบัญชาลูกน้องให้อยู่ในแถวได้ ก็ยิ่งเละกันไปหมด ชาวบ้านเดือดร้อนแน่
ล่าสุดยังมีข่าวว่ามีการสั่งเพิ่มค่า "ส่วย" ทั้งบ่อน ทั้งสถานบันเทิงเข้ากระเป๋ามากขึ้น
มันเป็นเสียอย่างนี้แหละครับ...ท่านนายกฯ.
สายล่อฟ้า