บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ไม่เชื่อคำตัดสินศาลฎีกา บ้านเมืองก็ไม่เหลือหลักอะไร

ที่มา ไทยรัฐ

วันเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ วุ่นกันแป๊บเดียวอีก 9 วันก็จะถึง วันพิพากษา คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้ว สถานการณ์บ้านเมืองถูกทำให้ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ มีการวางระเบิดซีโฟร์ หน้าศาลฎีกา รวมทั้งข่าวความรุนแรงก่อนและหลังวันพิพากษา ทำให้ ประชาชนรู้สึกขวัญผวา

ในงานเสวนาเรื่อง "เศรษฐกิจดี การเมืองแย่ ธุรกิจปรับตัวอย่างไร" ที่ นสพ.กรุงเทพธุรกิจ จัดขึ้นวันก่อน คุณดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าไทย ผู้เคยประกาศว่า "เกลียดนักการเมือง" ได้พูดประโยคกินใจอีกประโยคหนึ่งว่า

"นักธุรกิจไทยมีความเข้มแข็ง มีการปรับตัวเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆมาตลอด ไม่เช่นนั้นคงอยู่รอดไม่ได้ ต่างจากนักการเมืองที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อประโยชน์ของประเทศ นักการเมืองจะรู้หรือไม่ว่า สิ่งที่กระทำอยู่ได้สร้างความขัดแย้งและบั่นทอนประเทศ...ถ้านักการเมืองมีเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศชาติล่มจม ก็ถือว่าท่านได้ทำจนใกล้จะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการให้เป็นแล้ว"

ฟังแล้วไม่รู้เศร้าใจหรือสะใจดี ถ้าบ้านเมืองลุกเป็นไฟหรือล่มจม ถามว่าใครเดือดร้อน ก็ประชาชนเราท่านทั้งหลายนั่นแหละที่เดือดร้อน นักการเมืองร่ำรวยทั้งหลายไม่มีใครเดือดร้อนหรอก แล้วพวกเขาก็เหยียบหัวประชาชนแย่งอำนาจกันต่อไป

ความเป็นไปของบ้านเมืองยามนี้ นอกจากติดตามข่าวสารต่างๆแล้ว เราทุกคนต้องคิดให้รอบคอบด้วย คิดด้วยเหตุและผลปกติธรรมดานี่แหละ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการ "โฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง" ซึ่งตอนนี้กำลังทำกันถี่ยิบทุกฝ่าย เป็นวิธีที่พรรคคอมมิวนิสต์ทำได้ผลมาแล้วในอดีต ด้วยวิธี กรอกหูให้ข่าวในทิศทางเดียวกันต่อเนื่อง ตอกย้ำด้วยความถี่หลากหลายสื่อ แล้วคนก็มีแนวโน้มจะเชื่อไปเอง

แม้จะมีการวางระเบิดข่มขู่ที่ศาลฎีกา แต่ คุณสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา ก็ยืนยันผ่าน คุณวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ว่า

ได้มอบนโยบายให้ องค์คณะผู้พิพากษาคดีนี้ทุกคน เข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่จำเป็นต้องเลื่อนการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ และไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ผู้พิพากษาหวั่นไหวได้

ผมเห็นด้วยกับ คุณอรรถพล ใหญ่สว่าง รองอัยการสูงสุด ว่า ไม่ว่าศาลฎีกาจะพิพากษาออกมาอย่างไร จะให้ยึดทรัพย์ หรือ ยกคำร้องอัยการไม่ยึดทรัพย์ ทุกฝ่ายก็ควร เคารพในคำพิพากษา เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง

คุณอรรถพลบอกว่า คดีนี้ศาลฎีกาได้ใช้ ระบบไต่สวน ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหามีส่วนร่วมในการพิสูจน์ความจริงได้เต็มที่ ผู้ถูกกล่าวหาได้นำพยานเข้าเบิกความในการพิสูจน์ทรัพย์สินถึง 24 นัด ส่วนอัยการได้เพียง 9 นัด เมื่อศาลไต่สวนเสร็จแล้ว ศาลยังให้ค้นหา

ความจริงต่อ โดยนัดสอบพยานเพิ่มเติมอีกหนึ่งนัด แล้วยังให้ทำคำแถลงปิดท้ายเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้ง

แสดงว่าศาลฎีกาเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องได้ต่อสู้เต็มที่แล้ว

ศาลฎีกา เป็น ศาลสูงสุด ในกระบวนการยุติธรรม 3 ศาล เราไม่ เชื่อมั่นในคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เรายังอุทธรณ์ได้ ไม่เชื่อมั่นในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เราก็ยังสามารถยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาได้ แต่ถ้าเราไม่เชื่อมั่นในคำพิพากษาของศาลฎีกา ไม่เชื่อมั่นในกฎหมายที่ใช้ตัดสินคดีแล้ว ก็ไม่รู้จะเชื่อใครได้อีกแล้วในประเทศนี้

ก็เพราะทุกคนยึดมั่นในความคิดตัวเอง เชื่อมั่นตัวเองว่าทำถูกต้องหมด จึงต้องมีศาลเพื่อพิจารณาตัดสินชี้ขาดตามตัวบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่

แม้ศาลฎีกาจะเป็นศาลสูงสุด คำพิพากษาฎีกาต่อไม่ได้ แต่กฎหมายก็ยังเปิดช่องให้ "ถวายฎีกา" ได้อีกเป็นครั้งสุดท้าย คดีนี้เป็นคดีสำคัญของชาติ เป็นคดีที่สื่อมวลชนทั่วโลกให้ความสนใจ ผมเชื่อว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาจะต้องรอบคอบยิ่งกว่าคดีปกติทั่วไป ผลจะออกมาอย่างไร ก็รอลุ้นกันวันศุกร์หน้าครับ.

"ลม เปลี่ยนทิศ"

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker