นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคง ภายหลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดธนาคารกรุงเทพ จำนวน 4 สาขาว่า เจ้าหน้าที่ได้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดและไม่ประมาท เชื่อว่าหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน คงจะไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์ลอบวางระเบิดทั้ง 4 จุด แต่ตำรวจสามารถออกภาพสเก็ต 1 ในคนร้ายได้แล้ว คาดว่าภานในวันที่ 1 มีนาคมนี้ จะมีการประชุมและติดตามเรื่องนี้ต่อไป
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า อาวุธที่ใช้ก่อเหตุ คนทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ต้องไปตรวจสอบ เพราะทั้ง 4 จุดใช้แบบเดียวกันหมด และก็ไม่ใช่อาวุธที่คนอื่นจะได้รับอนุญาตได้"
เมื่อถามว่า ปัจจัยอะไรที่จะก่อให้เกิดความรุนแรง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนใม่อยากให้พูดจาในลักษณะให้เกิดความขัดแย้ง เช่น กรณีที่ฝ่ายค้านไปให้ข่าวในลักษณะที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น เช่น บอกว่ารัฐบาลขึ้นบัญชีดำบุคคล 212 คน ขอยืนยันว่าไม่มี เพราะไม่ใช่แนวทางของรัฐบาล ตนได้สอบถามหลายคนแล้ว ทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ทั้งคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครบอกว่ามีการขึ้นบัญชีในลักษณะนี้ ขอย้ำว่ารัฐบาลไม่ได้มีจุดยืน ไม่ได้ทำงานในลักษณะนั้น
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยอ้างรัฐบาลมีการขึ้นบัญชีดำกับผู้ที่เห็นไม่ตรงบรัฐบาล จำนวน 212 คนว่า รัฐบาลไม่มีการดำเนินดังกล่าว ตนขอเรียกร้องให้ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นำหลักฐานเอกสารมาเปิดเผย ไม่ใช่กล่าวหาเพื่อเป็นประเด็นข่าวเท่านั้น
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงเมื่อวันที่ 28 ก.พ.กรณีที่ปรากฏข่าวว่า รัฐบาลได้ขึ้นบัญชีดำบุคคล 212 คน ซึ่งมีทั้งคนใน ตระกูลชินวัตร ดามาพงศ์ และคนใกล้ชิด รวมถึงพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารและแกนนำพรรคเพื่อไทย รวมถึงคนเสื้อแดงและพระสงฆ์อีก 6 รูป โดยข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าหลังขึ้นบัญชีดำแล้วมีกลุ่มชายฉกรรจ์คอยติดตามผู้ถูกขึ้นบัญชีด้วยนั้น ต้องถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นการกระทำที่สมควรประณามอย่างยิ่ง ดังนั้นตนจะไปยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ ให้ตรวจสอบและจะสอบถามถึงเหตุผลในการขึ้นบัญชีดำดังกล่าวในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นจะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในวันที่ 4 มี.ค.เพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป