องค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทยไม่พอใจ การมีชื่อพระชั้นผู้ใหญ่อยู่มแบล็กลิสต์ 212 คน พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ เลขาธิการองค์กรชาวพุทธฯ พูดชัดว่า ขณะนี้ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพระพุทธศาสนา รายชื่อของพระชั้นผู้ใหญ่ถูกรัฐบาลขึ้นบัญชีดำ หรือ แบล็กลิสต์ เป็นกรณีที่จะต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะอาจจะมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ควรเฝ้าระวัง เลวร้ายกว่านั้น...รัฐบาลเอาสมองส่วนไหนคิดว่าจะมีการคุกคามลูกเมียรัฐมนตรี หรือผู้นำเหล่าทัพ สิ่งเหล่านี้ไม่มีในสังคมไทยอยู่แล้วนี่คือการป้ายสีหรือไม่??? นี่คือการสร้างความแตกแยกแบ่งขั้วให้รุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีกหรือไม่???
กรณีคำตัดสินให้ยึดทรัพย์สินกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท จากทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่าย่อมหนีไม่พ้นเสียงสะท้อนในแง่มุมต่างๆ เกิดขึ้นมาตลอดโดยเฉพาะเป้าใหญ่ คือ การทำงานของ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ซึ่งแสดงท่าทีชัดเจนในการต้องการให้มีการยึดทรัพย์ทั้งหมดให้ได้มาโดยตลอดแม้แต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยได้รับฉายา “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” ยังอดรนทนไม่ได้ ต้องพูดออกมาชัดๆ ว่า แบบนี้เท่ากับเป็นการยอมรับ
ในอำนาจของกระบวนการรัฐประหาร ที่มีมาตั้งแต่ 19 กันยายน 2549และที่สำคัญก็คือ“มีคนบางคนหรือใครบางคนที่อยู่เบื้องหลัง และชักใยทำให้สถานการณ์ในบ้าน ในเมืองของเรา เลวร้าย เหมือนอย่างทุกวันนี้ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าคือใคร และกำลังทำอะไรอยู่”จริงหรือไม่จริง ใช่หรือไม่ใช่ เป็นสิ่งที่กลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มนายทหาร คมช. รวมไปถึงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะต้องตอบกับสังคมเพราะแม้แต่นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ยังยอมรับว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ก็คือ กรณีสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการยุติธรรมที่ยอมรับการรัฐประหาร เนื่องจากหลายประเด็นที่อ้าง คณะปฏิรูปการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) มีอำนาจแต่งตั้ง คตส. และ ป.ป.ช. ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากผลพวงของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) “ฉะนั้นคดีนี้ถ้าจะให้สง่างาม และเป็นการส่งเสริมการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย จะ
ต้องเริ่มเรื่องจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และศาลจะต้องพิจารณาตั้งแต่เริ่มแรก” นายอนุสรณ์กล่าวที่สำคัญสิ่งที่นายอนุสรณ์ห่วงอย่างมากก็คือ ความยุติธรรมที่มาจากรัฐประหาร จะเป็นการสร้างบรรทัดฐาน และเป็นการบั่นทอนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คือไม่มีใครกลัวที่จะเดินหน้าทำการปฏิวัติรัฐประหารถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ควรอย่างยิ่งที่จะต้องรับฟังและนำไปคิดรวมทั้ง รศ.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐ
ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ยังยอมรับเช่นกันว่า การต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นจะไม่จบสิ้นลงเพราะยังมีประเด็นหลายประเด็นให้ต่อสู้ เช่น อำมาตยาธิปไตย สองมาตรฐาน การทุจริตของรัฐบาลรศ.ไชยันต์ มีความเห็นเช่นดียวกันว่า การที่คำตัดสินอ้างถึงประกาศ คปค.หลายต่อหลายครั้ง ทำให้ตกเป็นเป้าวิจารณ์ว่าเป็นการยอมรับอำนาจที่มาจากรัฐประหาร“หลายครั้งที่อ้างถึงกฎหมายประกาศ คปค.ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้หลายคนคิดว่า เป็นการยอมรับการกระทำของ
รัฐประหารหรือไม่ เพราะองค์กรที่ร้องนั้น เป็นองค์กรที่มาจากการแต่งตั้งของ คปค.” รศ.ไชยันต์ กล่าวแย่ตรงที่แม้จะมีการห่วงใยว่าเป็นการยอมรับอำนาจรัฐประหาร แต่หน่วยงานที่มาจากการแต่งตั้งของอำนาจรัฐประหาร กลับไม่รู้สึกรู้สม และยังคงเดินหน้าทำตามสิ่งที่ต้องการต่อไปเพราะนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. บอกชัดว่า ได้รับมอบหมายจากที่ประชุม ป.ป.ช. ให้เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน 4 เรื่อง คือ 1. กรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินอันเป็น
เท็จ 2. การแก้ไขสัญญาอัตราจัดเก็บภาษีบัตรเติมเงินมือถือแก่บริษัท เอไอเอส โดยมิชอบ 3. การแก้ไขสัญญาเชื่อมต่อสัญญาณหรือโรมมิ่งแก่เอไอเอส และ 4. การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์โดยมิชอบเล่นต่อไม่เลิกอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ที่ก็บอกว่าคณะรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบขยายผลคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงได้มีการออกคำสั่งที่ 102/ 2553 แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาและวิเคราะห์คำพิพากษา ในส่วน
ที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ ตามคำพิพากษาใน 5 ประเด็น และให้สอบสวนแล้วเสร็จภายใน เดือน มี.ค. เร่งกันเหมือนติดจรวดพร้อมตั้งคณะทำงานศึกษาสำนวนคดีปกปิดโครงการผู้ถือหุ้น SC ที่อัยการเคยสั่งไม่ฟ้อง ว่า สามารถเข้าสอบสวนรื้อฟื้นดำเนินคดีใหม่ได้อีกครั้งหรือไม่ตามคำสั่งนายกฯ ภายใน 15 วัน การกระเด้งรับอย่างรวดเร็วทันใจเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจ หากสังคมจะวุ่นวายไม่จบยิ่งมามีเรื่องของ “ปากคนประชาธิปัตย์” ที่ยังเคยชินกับมุกถนัดเดิมๆ
ไม่สนผลกระทบ ขอให้ได้พูดเอามันไว้ก่อน สร้างความฮือฮาระทึกใจให้สังคมได้เท่านั้นเป็นพอใจแล้วกรณีแบล็คลิสต์จึงลามปามไปจนเลยเถิด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง รับว่า มีการติดตามจับตามองประมาณ 10 คน แถมยังสนุกปากต่อไปว่า จะมีการจ้องเล่นงานลูกเมียรัฐมนตรี หรือผู้บัญชาการเหล่าทัพเว่อร์เสียยิ่งกว่าตลกชวนชื่น หรือตลกเชิญยิ้มเสียอีกแต่บรรดาคนที่ถูกกล่าวหา แน่นอนว่าไม่สามารถรับได้ ว่าเอาสมองส่วนไหนคิดว่า
จะมีการคุกคามลูกเมียรัฐมนตรี หรือผู้นำเหล่าทัพ สิ่งเหล่านี้ไม่มีในสังคมไทยอยู่แล้วนี่คือการป้ายสีหรือไม่??? นี่คือการสร้างความแตกแยกแบ่งขั้วให้รุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีกหรือไม่???เช่นกันกับองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทยก็ไม่พอใจ ซึ่ง พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ เลขาธิการองค์กรชาวพุทธฯ ยังพูดชัดว่า ขณะนี้ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพระพุทธศาสนา คือมีรายชื่อของพระชั้นผู้ใหญ่ถูกรัฐบาลขึ้นบัญชีดำ หรือ แบล็กลิสต์ ในการที่จะต้องจับตามอง
เป็นพิเศษ เพราะอาจจะมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ควรเฝ้าระวัง ทั้งๆ ที่รายชื่ออย่างเช่น พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระเทพปริยัติวิมล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้น ทั้ง 2 รูปไม่เคยออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเลย และพระธรรมกิตติเมธี ก็เป็นถึงโฆษก และกรรมการมหาเถรฯ แต่ก็ยังถูกนำมาขึ้นบัญชี จึงอยากให้ทางรัฐบาลโดยเฉพาะนายสุเทพ ออกมาชี้
แจงให้ชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ เพราะขณะนี้มีพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งไม่พอใจการกระทำดังกล่าวของรัฐบาล และเตรียมตัวที่จะออกมาเคลื่อนไหวใหญ่แล้วสำหรับรายชื่อพระสงฆ์ที่ถูกระบุในแบล็คลิสต์ที่ควรเฝ้าระวัง ประกอบด้วย 1.พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรฯ 2.พระธรรมสุธี เจ้าคณะกทม. 3.พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ 4.พระธรรมสิทธินายก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ 5.พระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา 6.พระเทพวิสุทธิกวี ผู้ช่วย
เจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส 7.พระเทพปริยัติวิมล อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ 8. พระราชญาณวิสิฐ์ เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม 9.พระสิทธินิติธาดา เลขานุการเจ้าคณะกทม. 10. พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ เลขาธิการองค์กรชาวพุทธฯ และ11. พระมหาโชว์ ทัสนีโย รองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยวุ่นวายกันขนาดนี้ คงต้องขึ้นอยู่กับนายอภิสิทธิ์แล้วว่า เมื่อไรจะปรามบรรดา “ปากประชาธิปัตย์”เสียที บ้านเมืองจะได้วุ่นวายน้อยลง