ไม่ประสานงาน-ขัดผลประโยชน์-รู้แล้วเฉย
จี้สังคายนาใหม่ทัั้งระบบ!
สถานการณ์การเมืองช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีรูปแบบการต่อสู้ เคลื่อนไหวที่หลากหลาย ทั้งใต้ดิน บนดิน มวลชน ทั้งที่เปิดเผยและลึกลับ ซับซ้อน ลับ-ลวง-พราง มีการชิงไหวชิงพริบ เรียกได้ว่าร้อนแรง ดุเดือด จนบางครั้งถึงขั้นเลือดพล่าน ให้หวาดเสียวไปตามๆ กัน ทั้งการวางระเบิด 7 จุด ขณะที่มีประชาชนออกมาเฉลิมฉลองเทศกาลขึ้นปีใหม่ เมื่อปี 2550 การยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่บริเวณที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อเนื่องมาจนถึงการยิงระเบิดเอ็ม 79 ลงตรงบริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล วางระเบิดซีโฟร์ในบริเวณศาลฎีกา และหมาดๆ คืนวันที่ 27 ก.พ. คนร้ายปาระเบิด เอ็ม 67 ตรงบริเวณธนาคารกรุงเทพ 4 จุด และ อื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
เป็นที่น่าสังเกตว่าเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้น สร้างความเสียหายให้กับประเทศไม่น้อย และเกิดขึ้นกับสถานที่ บุคคลสำคัญระดับประเทศ จึงมีการตั้งคำถามว่า ทำไมจึงปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ที่สำคัญไม่เคยที่จะจับใครมาลงโทษได้เป็นจริงเป็นจังสักที ทั้งที่เมืองไทยนั้นมีหน่วยข่าวกรอง หน่วยความมัั่นคง หลายหน่วย จึงไม่แปลกที่องค์กรเหล่านี้จะถูกตั้งข้อสังเกต และได้รับแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ แทนคำชมเสนาะหู
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวกับ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า จริงๆแล้วในวงการโจร วงการนักเลง หาระเบิด เอ็ม 67 ที่คนร้ายใช้ปาใส่ธนาคารกรุงเทพ 4 จุด เมื่อคืนวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมานี้ยากมาก เพราะมีแต่ในคลังแสงของกองทัพบกเท่านั้น ซึ่งมีอยู่ทุกกองพัน คนนอกไม่มีเลย และมีเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น กัมพูชา พม่า ลาวไม่มี และการปาคืนเดียว 4-5 ครั้งนั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าปาลูกเดียวก็ว่าไปอย่าง
"ลูกสุดท้ายที่ปาระเบิดลักษณะนี้ เกิดขึ้นต้ั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 51 มีการปาเข้าไปในที่ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และเป็นไปไม่ได้ที่เป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือฝีมือของผม"
เสธ.แดง เปรียบตนเองเป็นเหมือนพวก "มูจาฮีดีน" จะทำทุกครั้งต้องบอกล่วงหน้าทุกที ไม่มีทางไปปาตึกเด็ดขาด ปาแล้วจะต้องมีคนตาย และไม่มีเหตุผลที่จะไปปาธนาคารกรุงเทพ หากจะปาก็ไปปาที่ศาลหรือที่ชุมนุมจะดีกว่า
"เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องการวางแแผนของรัฐบาลอะไรหรอก เป็นเรื่องขัดแย้งกันระหว่างกองทัพกับแบงก์กรุงเทพ เรื่องเครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที 200 เพราะแบงก์กรุงเทพ เป็นนายหน้าร่วมกับบริษัท เอวีเอ พอผลตรวจสอบออกมาอย่างนี้ก็ไม่ยอมรับผิดชอบ ทหารก็กลัวติดคุก เพราะมีเรื่องอีกหลายเรื่องที่รอการตรวจสอบ เช่น บอลลูน รถติดเกราะ เงินออมทรัพย์ทหาร รถหุ้มเกราะลูกยาง 8 ล้อ ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ซึ่งหนึ่งในเจ้าของแบงก์กรุงเทพ เป็นคนตรวจสอบด้วย เรื่องนี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ ก็เลยมีปัญหากัน"
นายทหารคนดัง บอกอีกว่า ถ้าให้วิเคราะห์ตามหลักทหารที่ตนถนัดนั้น ไม่มีใครที่จะนำระเบิดเอ็ม 67 มาปาเล่น 4-5 ลูก นอกจากทหารที่ทำได้ และยืนยันว่าม่ใช่เป็นฝีมือตนและคนเสื้อแดงแน่นอน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ห้ามไว้ รวมถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ก็ด่าตนทุกเช้าเย็น ถ้าทำแสดงว่าไม่เกรงใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ตนทำหน้าที่นำทหารพรานจำนวน 1,000 คนมาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย หรือการ์ด ให้กับกลุ่ม นปช.ในวันที่ 14 มี.ค.เท่านั้น
เสธ.แดงยังวิเคราะห์ว่าที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ 1. ตำรวจทั้งหมดเป็นเสื้อแดง 2. ทหารที่ออกมานั้นส่วนใหญ่โง่ ไม่มีความรู้ในการตรวจสอบวัตถุระเบิด เขาให้มายืนเฉยๆ 3. สำคัญที่สุดคือหน่วยข่าวต่างๆ ของรัฐบาลล้มเหลวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหน่วยข่าวกรองของทหาร เรียกว่า "หน่วยข่าวรั่ว"
"มีเรื่องอะไรไม่เคยรู้ ผมคนเดียวทำเอากองทัพป่วนทั้งกอง แสดงว่ากองทัพอ่อนแอจริงๆ ศูนย์ข่าวทหารเฟอะฟะ หาข่าวฝ่ายเดียว ข้าศึกไม่เคยรู้ ศูนย์รักษาความปลอดภัยทหาร เขาเรียกว่าศูนย์รักษาข่าวรั่ว นอกจากนั้นยังมีหน่วยข่าวของ กอ.รมน. กองอำนวยการรักษาเมียน้อย ก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยพลเรือนก็ไม่ได้เรื่อง สมควรที่จะต้องสังคายนาได้แล้ว"
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวด้วยว่า อยากเตือน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้ระวัง "ไอ้ป๊อก" หรือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) "ที่ผ่านมาไอ้ป๊อกเดินตามหลังใคร คนนั้นมักจะโดนแทงข้างหลังตายหมด ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็เลยมาก่อเหตุ พี่สุเทพจะเป็นคนต่อไป"
ทางด้านนักวิชาการดัง ดร.เจษฎ์ โทณวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวกับ ไทยรัฐออนไลน์ ว่า สถานการณ์ทุกวันนี้มีหลายประเด็นที่น่าพิจารณา 1. หน่วยข่าวกรองของไทยไม่ได้เรื่องเลย ไม่สามารถตาม วางสายข่าว ให้รู้ว่าข้อมูลที่ฝ่ายก่อการร้ายส่งต่อกันอย่างไร 2. เป็นไปได้ที่มีคนปะปนอยู่ในหน่วยข่าวกรองของทางการ คอยบอกว่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองรู้ตลอดว่าพวกก่อการจะทำกันตรงไหน อย่างไร จึงมีการเปลี่ยนที่ตลอดเวลา 3. มีการปล่อยข่าวตลอดเวลา ในขณะที่การคาดการณ์ของหน่วยข่าวกรองก็ไม่ดีพอ บางครั้งผู้ก่อการทำไปโดยไม่มีการวางแผน คิดและทำเลย ตรงนี้หน่วยข่าวกรองก็ตามได้ยาก แต่สถานการณ์ที่ผ่านมามันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องความขัดแย้ง ไม่ใช่ปัญหาวัยรุ่น
"เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวของไทยวันนี้มีมากมาย แต่ไม่รู้ทำไมไม่มีประสิทธิภาพปล่อยให้มีสถานการณ์เกิดขึ้นรายวัน และเชื่อว่ายังมีต่อไปเรื่อยๆ เพราะยังมองไม่เห็นว่ารัฐบาลจะมีมาตรการใดๆ เลย เราต้องมาคิดว่า 1. เราบกพร่องในการประสานงานกันหรือไม่ 2. แบ่งปันผลประโยชน์ ความคิดไม่เหมือนกัน การทำงานต่างกันหรือไม่ สุดท้ายอันตรายที่สุด คือ 3. ทุกคนรู้กันหมดแต่ปล่อยให้สถานการณ์ถูกปล่อยให้เกิดไปวันๆ"
คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวด้วยว่า ดังนั้นหน่วยข่าวกรองต้องเรียนยุทธวิธี เรียนรู้รูปแบบของกองโจร จะคิดแบบเดิมไม่ได้แล้ว รูปแบบต้องหลากหลาย ทำงานแบบเชิกรุก ไม่ใช่เชิงรับเหมือนที่ทำอยู่ปัจจุบัน ที่สำคัญที่สุดอย่าคิดแบบเจ้าหน้าที่คิด ต้องคิดแบบโจรคิด เช่นเดียวกับตำรวจหากคิดแบบตำรวจคิด ก็จะไม่สามารถจับคนร้ายได้ หน่วยข่าวกรองต้องคิด 3 ชั้น ต้องให้ลึก และสกัดกั้นการทำของฝ่ายผู้ร้าย ที่สำคัญต้องนำตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ อย่าปล่อยลอยนวลคลุมเครือกันเหมือนหลายกรณีที่ผ่านมา เพราะคนที่เจ็บคือรัฐบาล หน่วยงานราชการ ทหาร ตำรวจ เป็นต้น.