บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

จุดจบคดียึดทรัพย์7.6หมื่นล้าน

ที่มา มติชน

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์


บ่ายวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 สำหรับประเทศไทยแล้ว ถือเป็นวันหยุดโลกซึ่งทุกฝ่ายจับตามองว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดียึดทรัพย์ที่สุดในประวัติศาสตร์มูลค่าถึง 76,621 ล้านบาท อย่างไร


มองกันว่า ไม่ว่า ผลของคดีจะออกมาอย่างไร อาจเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญ


ในคดีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่า ร่ำรวยผิดปกติ เพราะได้ทรัพย์สินจำนวนดังกล่าวมาจากการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี(ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2544-มีนาคม 2548)โดยมิชอบหรือใช้อำนาจ สั่งการ มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐภายใต้บังคับบัญชา หรือกำกับดูแลของผู้ถูกกล่าวหา กระทำการที่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) และบริษัทในเครือ


ดังนั้น โจทก์(อัยการสูงสุด) จึงร้องต่อศาลให้ยึดทรัพย์ทั้งหมด 76,621 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน


คำถามที่เจอเป็นประจำคือ ศาลจะสั่งจะยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือยึดเพียงบางส่วน น้อยนักที่จะถามว่า ศาลจะยกฟ้องหรือไม่


เพื่อความเข้าใจว่าในการติดตามคดีนี้ ต้องรู้ว่า ประเด็นที่ศาลฎีกาฯต้องชี้ขาดมีอย่างน้อย 3 ประเด็นคือ


หนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ "ซุกหุ้น"บริษัท ชินคอร์ปฯผ่านบริษัทและบุคคลต่างๆ เช่น บริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ บริษัท วินมาร์ค ญาติพี่น้อง และลูกๆ หรือไม่เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธมาตลอดว่า ได้โอน(ขาย)หุ้นเหล่านี้ไปหมด ในช่วงดำรงตำแหน่งงนายกรัฐมนตรี


สอง พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจหน้าที่ในการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ป 5 กรณี หรือไม่ ดังนี้


1.กรณีแปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ

2.กรณีการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) ให้กับบริษัท เอไอเอส


3.กรณีการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส


4.กรณี อนุมัติ และส่งเสริมการลงทุนดาวเทียมไอพีสตาร์โดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์


5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นเงิน 4,000 ล้านบาท เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซทเทลไลท์


ถ้าศาลเห็นว่า ประเด็นที่หนึ่งและสองเป็นไปตามข้อกล่าวหา ก็หมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติจริง จึงจะเข้าสู่การพิจารณาประเด็นที่สามคือ การสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินหรือยึดทรัพย์ว่า จะยึดทรัพย์สินบางส่วนหรือยึดทั้งหมดซึ่งมี 2 แนวคิดใหญ่ๆ


แนวคิดแรก คิดจากจากตรรกะพื้นฐานว่า ก่อนเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯมีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่หรือมีมูลค่าเท่าใด นำไปหักออกจากมูลค่าทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงขึ้นในช่วงดำรงตำแหน่งที่ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ แล้วยึดทรัพย์สินส่วนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น


แนวคิดที่สอง เป็นของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) มองว่า ต้องมีการลงโทษผู้กระทำผิด เพราะพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับว่า หุ้นดังกล่าวเป็นของตนเอง แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้หุ้นซุกไว้กับผู้อื่น เท่ากับใช้ทรัพย์สินนั้นในการกระทำผิด


ดังนั้นเมื่อศาลตัดสินให้ยึดทรัพย์ ต้องยึดทั้งก้อน มิใช่คืนในส่วนต้นทุนเป็นทรัพย์สินเดิม ที่ยกเป็นตัวอย่างคือ เงิน 100 บาท นำมาใช้เป็นต้นทุนในการค้ายาเสพติด เพิ่มมาเป็น 1,000 บาท ศาลมีคำสั่งยึดทั้งหมด มิใช่เพียง 900 บาท


ที่พูดกันมากอีกประเด็นคือ มีการแทรกแซงการการพิจารณาคดีหรือไม่เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหา เป็นผู้มีอิทธิพลทั้งการเมืองและการเงิน


ถ้าใครดูภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "SWAT" ซึ่งเป็นตำรวจหน่วยหนึ่งมีหน้าที่ต้องคุมตัวผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายใหญ่จากสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในนครนิวยอร์คไปส่งที่เรือนจำรัฐ

ช่วงหนึ่งผู้ต้องหามีโอกาสให้สัมภาษณ์ทีวีได้ประกาศว่า ถ้าใครช่วยตนออกไปได้จะให้ 100 ล้านดอลลาร์(ประมาณ 4,000 ล้านบาทในขณะนั้น)


เท่านั้นเอง บรรดาแก๊งอาชญากรรมทั้งนครนิวยอร์คผนึกกำลังขนอาวุธหนักถล่ม หน่วย SWAT อย่างหนัก แต่ก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด จนต้องมีการวางแผนนำตัวผู้ต้องหาหลบหลีกไปอีกเส้นทางหนึ่ง


แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ ตำรวจหน่วย SWATซึ่งอยู่ในคณะที่คุมตัวผู้ต้องหาเกิดทรยศเพราะต้องการเงิน 100 ล้านดอลลาร์ วางแผนพาตัวพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่หนีเสียเอง


แม้ตอนจบ หน่วย SWAT สามารถชิงตัวผู้ต้องหากลับมาได้ และคนที่ทรยศก็ถูกยิงตาย แต่ก็ชี้ให้เห็นว่า เงินจำนวนมหาศาลไม่เข้าใครออกใคร ขนาดจ้างผีโม่แป้งก็ยังได้


เมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาท แลกกับ 5,000 ล้านบาทแล้ว ถือว่า คุ้มค่ามาก


ส่วนตอนจบจะเป็นแบบ SWAT หรือไม่ ต้องคอยดูกันต่อไป

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker