และแล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ก็ออกมาพูด พูดเหมือนไม่ได้พูด พูดอย่างที่ผมต้องอุทานว่า “ฉิบหอยแล้ว”
ต้องเข้าใจก่อนว่าท่านมาเป็นประธานแถลงข่าวมหกรรมดนตรีเพื่อธรรมชาติและชีวิต ไม่ได้บอกว่ามาแถลงข่าวเรื่องเขายายเที่ยง แต่อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น วันไหนไม่แถลงมาแถลงวันนี้ ทอสงทอสอก็โทรบอกนักข่าวมากันพรึ่บ... ด้วยความหวังว่าท่านจะยืดอกประกาศอย่างชายชาติตะหาน ว่าที่ดินเท่าแมวดิ้นตายนี้ท่านไม่ต้องการครอบครอง ขอแสดงเจตนาคืนให้ตั้งแต่วันนี้ กรมป่าไม้พร้อมเมื่อไหร่ก็มารับคืนไปได้
แต่...ที่ไหนได้ ท่านกลับบอกเหมือนเดิมว่าพร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย กรมป่าไม้พิจารณาชี้ขาดอย่างไร ก็พร้อมปฏิบัติตามนั้น
“ฉิบหอยแล้ว” ท่านพูดอย่างนี้เรื่องมันก็โกโซบิ๊ก เพราะตีความได้ว่าถ้ากรมป่าไม้เขาจะเอาคืน ท่านก็คืน ถ้าเขาไม่เอาคืน ท่านก็...ฮุบ (ภาษาที่สื่อชอบใช้กับนักการเมือง)
โอ๊ยๆๆๆๆๆๆ พล.อ.สุรยุทธ์ที่ผมชื่นชม
แต่ไม่เป็นไร ผมมันคนดื้อ ถึงยังไงผมก็ยังมองท่านในแง่ดี ผมเชื่อว่าใจจริงน่ะท่านไม่ห่วงหวงหรอก ที่ดินแค่นี้ สมบัตินอกกาย ชีวิตท่านต่อสู้สูญเสียและเสียสละอะไรต่ออะไรมามากมายแล้ว
เพียงแต่ตอนนี้ ท่านน่าจะมองว่า ท่านกำลังถูกเล่นงานด้วย “เกมการเมือง” ที่กะเอาท่านเป็นลูกขาวตีกระทบชิ่งให้แตกกราวไปทั้งโต๊ะ ท่านอาจจะมีที่ปรึกษา คนสนิท ใครต่อใคร กินข้าวด้วยกันเต็มโต๊ะบ้านปีย์ มาลากุล (ฮา) แล้วแนะนำว่าท่านถอยไม่ได้ ถอยก็จะถูกรุก คืนเขาก็จะหาว่าผิด ยอมรับผิดก็จะถูกไล่ ถูกทวงถามสปิริต ฯลฯ ฉะนั้นท่านต้องปากแข็งเข้าไว้
ถามว่าเรื่องเขายายเที่ยงเป็นเกมการเมืองไหม เป็นสิครับ เสื้อแดงพรืดซะขนาดนั้น เขาคงไปเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติและชีวิตหรอกนะ แต่ประเด็นคือเป็นแล้วท่านจะรับมืออย่างไร ไม่ใช่อ้างแต่ว่าท่านถูกเล่นเพราะการเมือง
ซึ่งเท่าที่เห็นตอนนี้ ท่านก็เพลี่ยงพล้ำไป 2 ยกแล้ว ยกแรกตั้งแต่ตอนที่อัยการออกมาแถลงสั่งไม่ฟ้อง คือไม่ว่าประเด็นกฎหมายจะถูกผิดอย่างไร ในทางการเมือง ในความรู้สึกของประชาชน-ภาษาจิ๊กโก๋แถวบ้านเขาเรียกว่า “อุ้ม” ครับ บางคนที่คิดลึกคิดร้ายหน่อยยังสงสัยว่านี่อัยการ “วางยา” ท่านอ๊ะป่าว เพราะพูดไปสองไพเบี้ย มีแต่เสียกับเสีย อยู่เฉยๆ ยังเสียน้อยกว่า
สถานการณ์ที่โดนเล่นงานด้วย “เกมการเมือง” แล้วไม่ยอมถอย ไม่ยอมแสดง “สปิริต” นี่ ประวัติศาสตร์ก็เห็นมานักต่อนักแล้วนะครับ ตั้งแต่ สปก.4-01 ที่กว่าเทพเทือกจะลาออก ชวนก็ไหม้ มาจนถึงทักษิณ ขายหุ้นไม่เสียภาษี อ้าว มันก็จริง กฎหมายเขาบอกว่าไม่ต้องเสียภาษีแล้วจะให้ไปเสียกับใครที่ไหน แต่คุณเป็นนักการเมือง เป็นผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางบริหาร เมื่อสังคมเห็นว่าคุณกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมแม้ไม่ผิดกฎหมาย คุณต้องแสดงสปิริตไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
กี่รายกี่ราย พอไม่ “ถอย” แล้วเป็นอย่างไร ก็เห็นๆ อยู่ ท่านยังจะอ้างอยู่อีกหรือว่า “พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย”
ก็พอจะเข้าใจหรอกนะครับ เวลาที่ท่านมองจากมุมของท่านหรือผู้ใกล้ชิด ท่านก็จะมองว่าท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ดินมันถูกบุกรุกอยู่แล้ว ป่ารกร้างแล้ว อย่างที่ผมได้ยินมาคือมีคนเอามาใช้หนี้ ถ้าไม่เอาก็สูญ (ช่วยอธิบายนะเนี่ย) พล.อ.นินนาท เบี้ยวไข่มุข นายทหารคนสนิทของท่าน ก็อ้างว่าท่านทราบดีว่าไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของ (ทราบมาเป็นสิบปี และจะทราบต่อไปอีกนานไหม) ท่านได้มาก็ไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ไปปลูกต้นไม้ไว้จำนวนมาก จนมีสภาพสวยงามเช่นปัจจุบัน เพื่อเอาไว้ใช้พักผ่อนเป็นครั้งคราวเท่านั้น (ไม่บอกด้วยล่ะว่าท่านปรับที่แผ้วถางพัฒนาไปเป็นล้าน) แถมชาวบ้านที่นั่นยังได้อานิสงส์ที่ท่านไปอยู่ใกล้ๆ ได้รับความช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยแล้งภัยธรรมชาติอีกต่างหาก (ฟังแล้วน่าจะจัดสรรให้ท่านนายพลเศรษฐีผู้ดีชาวกรุงไปครอบครองที่ ภบท.ทุกหมู่บ้านตำบล ชาวบ้านจะได้มีที่พึ่ง มีเทวดามาโปรด)
แต่ท่านลองมองย้อนดูหัวอกไอ้เทือกบ้างไหม เฮ้ย แจกอยู่ดีๆ พ่อผัวยัยอัญชลีได้ สปก. 4-01 ผมว่าไอ้เทือกก็ต๊กกะใจเหมิอนทุกคนนั่นแหละ เพราะเจ้าหน้าที่ สปก.ทำอย่างนี้ทุกแห่งในประเทศไทย ไปดูได้ ใครครอบครองอยู่ก็แจก สปก.คนนั้น ไม่สำคัญว่าเป็นเกษตรกรหรือนายหัว นั่นคือความผิดพลาดของนโยบาย แต่มาเจอรูปธรรมที่มัน drama ตอนไอ้เทือกแจกอยู่พอดี ไอ้เทือกคิดว่าตัวเองไม่ผิด ไม่ออก ก็ฉิบหอยสิครับ ไม่ได้พังคนเดียวแต่พังทั้งรัฐบาล
ถ้าเทียบทักษิณยิ่งหนักกว่า ทักษิณขายหุ้นผิดตรงไหน ทักษิณก็บอกว่า “พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย” ถ้ากรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีก็จะจ่าย แต่กางประมวลรัษฎากรตรงไหนก็ไม่มี (คตส.มาตะแบงเอาหลังรัฐประหาร แต่ก็ยังอ้างได้แค่หุ้นที่โอนมาจากเมืองนอก)
ทักษิณไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดที่ความไม่เหมาะสมไงครับ เพราะผู้ดำรงตำแหน่งบริหารประเทศ ต้องมีจริยธรรมสูงกว่าพ่อค้า ต้องเสียสละเพื่อการทำงานให้ส่วนรวม แต่อีกมือหนึ่งคุณยังแสวงกำไร หวังผลกำไรสูงสุด มองอย่างเดียวว่าต้องขายหุ้นตอนที่มันพีค แทนที่จะขายหุ้นไปตั้งแต่ปีแรก คุณกลับขายให้ลูก บอกว่าของลูก ลูกบรรลุนิติภาวะแล้ว ทางกฎหมายใช่เลย แต่ทางความเป็นจริงใครก็รู้ว่าของคุณ คุณยังดูแลอยู่
ทักษิณก็ยังคิดแบบพ่อค้าอยู่นะครับ คือคิดว่าตัวเองไม่ผิด ถ้า พล.อ.สุรยุทธ์คิดแบบคนธรรมดา แบบนายหมูนายแมวเสี่ยแม้ว ท่านก็คิดได้ว่าตัวเองไม่ผิด โหย ใครๆก็ครอบครองที่ ภบท.เยอะแยะไป เหมือนประเทศนี้ใครๆ ก็ฝ่าไฟแดงโดยบอกว่าเหลืองชัดๆ ท่านครอบครองแล้วยังทำความดีอีกต่างหาก ปลูกป่าให้สวยงามร่มรื่น
ที่ว่าเทียบกับทักษิณแล้วหนักกว่า เพราะผมมองว่าทักษิณไม่ได้ “ฝ่าฝืนกฎหมาย” (แต่ชอบไต่เส้นกฎหมาย) อย่างที่คุณสมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ปปช. อ้างในบทความเรื่องคดี 5-4 มาตรา 100
เพราะมาตรา 100 ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับ หน่วยงานของรัฐ ที่ตัวเองมีอำนาจกำกับดูแล การตีความสัญญานี้จะตีความกว้างตะพึดตะพือไม่ได้ เพราะสัญญาที่บุคคลทำกับรัฐมีมากมาย ตั้งแต่ใช้น้ำใช้ไฟใช้โทรศัพท์ เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ อะไรต่อมิอะไร ที่เป็นเรื่องปกติ สัญญาที่เข้าความผิดมาตรา 100 อย่างน้อยต้องเป็นสัญญาที่เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจเข้าไปใช้ดุลพินิจ ซึ่งการประมูลขายทอดตลาดมันไม่ใช่เรื่องของการใช้ดุลพินิจ มันมีหลักเกณฑ์ชัดเจนรวบรัดว่าใครเสนอราคาสูงกว่าก็ได้ไป ไม่เหมือนการประมูลก่อสร้างที่ต้องมีเปิดซองเทคนิคมีการกำหนดสเปก ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้ตุลาการเห็นแย้งกัน 5-4
แต่ทักษิณกับพจมานทำผิดจริยธรรมเพราะมันไม่เหมาะสม ตัวเป็นนายกฯ ไม่สมควรไปประมูลซื้อที่ดินของรัฐแข่งกับคนอื่น ถึงจะเห็นเป็นโอกาสได้ที่ดินสวย ราคาไม่แพง ก็ต้องอดทนอดกลั้น เพราะผัวเป็นนายกฯ นี่คือจริยธรรม คุณต้องเสียสละ ต้องยอมสละไม่ทำอะไรที่เคยทำได้เหมือนตอนยังไม่เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง
ความผิดทางจริยธรรมแบบนี้เป็นเรื่องโลกะวัชชะ คือทำให้เสื่อม เปรียบเหมือนเมียอธิบดีหรือรองอธิบดีกรมบังคับคดี ไปประมูลซื้อที่ดินขายทอดตลาด ยกมือแข่งกับคนอื่นแฟร์ๆ ผัวไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องใช้ดุลพินิจ ฉะนั้นไม่ควรติดคุก แต่ก็จะถูกซุบซิบนินทา ปากหอยปากปู ทำนองว่าคนอื่นเขาเกรงใจหรอกน่า เขายอมให้ พูดกันไปปากต่อปากผัวก็เสื่อม
เมื่อเทียบท่านกับทักษิณ ทักษิณไม่ได้เจตนา “ฝ่าฝืนกฎหมาย” เพราะทักษิณเชื่อว่าทำได้ เชื่อว่าตัวเองไม่ได้มีอำนาจกำกับดูแลกองทุนฟื้นฟู (ก็คนตัดสินยังเสียงแตก 5-4 ว่าทำได้ทำไม่ได้) แต่ในกรณีของท่าน ท่านรู้ตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือ ว่าเป็นที่ดินซึ่งครอบครองไม่ได้ กฎหมายไม่ให้ครอบครอง ถึงจะไม่ใช่ความผิดร้ายแรง แต่ก็ “ฝ่าฝืน” ไปแล้ว
ถ้าพูดถึงจริยธรรมยิ่งแล้วใหญ่ เพราะตัวท่านเองก็พูดอยู่บ่อยๆ ว่าห่วงใยปัญหาที่ทำกินของราษฎรผู้ยากไร้ ท่านอยู่ในฐานะสูงส่งที่ต้องเป็นแบบอย่าง จะกล่าวเพียงว่า “พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย” ได้อย่างไร
ท่านจึงจำเป็นจะต้องแสดงสปิริต ซึ่งหมายถึงการชิง “เสียสละ” มากกว่าจะรอคอยให้กรมป่าไม้พิจารณาชี้ขาดอย่างไรแล้วค่อยทำตาม
วกกลับมาที่เรื่อง “การเมือง” ล้วนๆ สถานการณ์แบบนี้ ถ้าผงไม่เข้าตาตัวเองก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ท่านน่าจะรู้แล้วว่า คนที่เป็น “จำเลยสังคม” น่ะ ในมุมมองของเขาและคนใกล้ชิด ล้วนเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด หรือผิดก็ผิดนิดเดียว น้อยกว่าที่โดนกล่าวหาโจมตี แล้วพวกเขาก็จะพยายามแก้ต่าง ตอบโต้ ไม่ยอมถอย เรียกร้องให้เข้าใจมุมมองของเขาบ้าง ให้ความเป็นธรรมเขาบ้าง ฯลฯ
แต่-บทเรียนของสังคมเส็งเคร็งนี้นะครับ อะไรที่มันจุดติดแล้ว เป็นกระแสแล้ว ยิ่งโต้แย้งยิ่งย่ำแย่ กลายเป็นผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ประชาธิปัตย์ยังรู้จักเอาบทเรียนนี้มาใช้ กอร์ปศักดิ์ วิทยา ชิงลาออก แล้วกระแสก็ซาไป ไม่มีใครสนใจทุจริตพอเพียงอีก ทั้งที่หลักฐานเหวอะหวะ
ผมก็ยังไม่แน่ใจว่านี่มันจุดติดหรือยัง แต่อย่างที่บอก 2 ยกแล้ว มีแต่เข้าเนื้อ ท่านคงจะต้องตั้งสติให้มั่น เข้าวิปัสนากรรมฐาน รวบรวมสมาธิรับมือ เก๊กหน้าให้เหมือนพระธุดงค์เข้าไว้ (ฮา) อย่าใช้อารมณ์และความหวาดระแวงเหมือนที่ใช้กับน้องวาสนา เพราะท่านจะน่วมเอง ท่านต้องรู้จักจังหวะถอย แสดงสปิริตเมื่อถึงสเตป เพราะเรื่องนี้มีหลายสเตป ทั้งการครอบครองที่ดิน ทั้งความเหมาะสมต่อตำแหน่งหน้าที่ ถ้าผิดสเตปก็ขัดขาตัวเอง หงายท้องสิครับ
อย่างที่บอกว่าถ้าท่านประกาศคืนที่ดินเสียตั้งแต่ตอนพ้นตำแหน่งนายกฯ ก่อนได้รับโปรดเกล้าฯ กลับมาเป็นองคมนตรี เรื่องที่แล้วมาก็จบ หรือถ้าท่านประกาศคืนเสียตั้งแต่วันนี้ สเตปที่สองเรื่องจริยธรรม ก็จะเบาบางลดน้อยลง นี่อาจมองสวนทางกัน เพราะบางคนกลับกลัวว่ายิ่งถอยยิ่งถูกรุก แต่ผมมองว่าถ้าไม่แสดงสปิริตให้ชัดเจนระดับหนึ่ง ก็เอาไม่อยู่
ว่างๆ ท่านน่าจะลองเรียกเทพเทือกไปคุย ถ่ายทอดประสบการณ์สมัย สปก.4-01 ว่าโดนซะอ่วมอย่างไร ทำไมจึงคิดว่าตัวเองไม่ผิด หรือถ้าจะเอาสดๆ ร้อนๆ หน่อย ก็น่าจะโทรไปคุยกับทักษิณ (ฮา) ว่าตอนนั้นที่เถียงไม่ตกฟากน่ะ ได้บทเรียนอย่างไร