บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ตอนที่ 7 ตุลาการรัฐประหาร ก่อให้เกิด "คนเสื้อแดง"

ที่มา thaifreenews

ตอนที่ 7
ตุลาการรัฐประหาร ก่อให้เกิด "คนเสื้อแดง"

การยัดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กับจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ / แกนนำ นปช.
การตัดสินคดีทุจริตเลือกตั้งของยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา / สส.พรรคพลังประชาชน
การใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญปลด สมัคร สุนทรเวช จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ..
และมาจนถึงศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน - เหล่านี้ มิได้แตกต่างไปจากคดียุบพรรคไทยรักไทย

ในความเห็นของแนวร่วมชนชั้นอำมาตย์ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องน่ายินดีและสะใจ
แต่ในมุมมองของประชาชนอีกจำนวนมาก เห็นต่างออกไป..และเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเพื่อกลั่นแกล้ง อยุติธรรม

คำบรรยายเชิงวิชาการของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ..เมื่อปี 2550 ไม่มีถ้อยคำใดที่กล่าว
หมิ่นสถาบันกษัตริย์ แต่ฝ่ายอำมาตย์ยกเอาคำว่า "ระบบอุปถัมภ์" ว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (?) ทั้งที่คำว่า
patronage ในภาษาอังกฤษ หรือ แปลว่า "ระบบอุปถัมภ์" ในภาษาไทย ล้วนเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป และในเนื้อหาก็
มิได้กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ด้วยซ้ำ - อย่างไรก็ตาม วิธีการกำจัดศัตรูทางการเมืองของชนชั้นอำมาตย์ คือยัดข้อหา
ในทำนองนี้ โดยมี "สื่อมวลชนกระแสหลัก" เป็นผู้รับใช้ขยายความ

ในคดีทุจริตเลือกตั้ง ข้อกล่าวหาคือนายยงยุทธ ติยะไพรัช แจกเงินให้หัวคะแนนในจังหวัดเชียงราย
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากปากคำของพยายโจทก์เอง กลายเป็นว่าพวกเขาพบกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช ก่อนจะมี
การเลือกตั้ง และยังไม่มีการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ..การพบปะกันนั้น นายยงยุทธมิได้เป็นคนนัดหมาย และยัง
ไม่ได้ต้องการจะพบคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ .. จากนั้น พยานโจทก์เกือบทุกคนยืนยันว่าจำเลยคือนายยงยุทธ ติยะไพรัช
ไม่เคยแจกเงินให้พวกตน มีพยานโจทก์เพียงคนเดียวที่ยืนยันตามคำฟ้อง ..

ทุกฝ่ายยอมรับว่า การพบปะระหว่างนายยงยุทธ ติยะไพรัช และบุคคลเหล่านี้เกิดขึ้นก่อน พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง
นั่นหมายถึงว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะพบหรือไม่พบ จะให้เงินหรือไม่ให้เงิน

อย่างไรก็ตาม ศาลการเมือง บอกว่าผิด ..และนำคดีเดียวกันไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนอีกด้วย

วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551
นายชัช ชลวร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมคณะ ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในกรณีที่ประธานวุฒิสภา
ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดการ
เป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 267 ประกอบมาตรา 182 (7) เนื่องจากรับเป็น
"พิธีกรกิตติมศักดิ์" ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” ซึ่งคณะตุลาการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0
เสียง เห็นว่านายสมัครกระทำต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 267 เรื่องคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี

จึงทำให้นายสมัครสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีลง แต่ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการไปจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่

ตรงนี้เป็นจุดพลิกผันสำคัญ..อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
นปช. มีแนวร่วมประชาชนเพิ่มขึ้นอีก เป็นเท่าทวีคูณเพียงชั่วข้ามคืน
สิ่งที่ นปช. กล่าวถึงชนชั้นอำมาตย์ อำนาจอันไม่ชอบธรรม ความอยุติธรรมของระบอบอำมาตยาธิปไตย ..สิ่งเหล่านี้
ชนชั้นอำมาตย์ ได้ช่วยพิสูจน์ตนเองด้วยการกระทำ..ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าทุกอย่างที่ นปช. พูดถึงนั้นได้เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น

วันที่ 7 ตุลาคม 2550
กลุ่มพันธมิตรฯ และกองกำลังติดอาวุธเบา พยายามยับยั้งการแถลงนโยบายของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี
คนใหม่จากพรรคพลังประชาชน ..กลุ่มพันธมิตรฯพยายามบุกเข้าไปในรัฐสภา และปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดทั้งวัน
มีผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บจำนวนมาก คนของกลุ่มพันธมิตรฯเสียชีวิตสองคน..จากระเบิดของกลุ่มพันธมิตรฯ
ด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม มวลชนพันธมิตรฯมีความเชื่อตรงกันข้าม และสื่อมวลชนกระแสหลัก ก็โหมข่าวเข้าข้างกลุ่ม
พันธมิตรฯอย่างเต็มที่ - อย่างไรก็ตาม การระดมสรรพกำลังมากมายทุกแขนง ชนชั้นอำมาตย์ก็ยังไม่สามารถทำลายฝ่าย
ตรงข้ามทางการเมืองของตนลงไปได้ ชนชั้นอำมาตย์ไม่ได้เพิ่มมวลชนของฝ่ายตน (ดูจากการออกมาร่วมชุมนุม) และ
ไม่ได้ลดมวลชนของฝ่ายตรงข้าม -

ปรากฏการณ์นี้ แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งได้ร้าวลึก
จนกลายเป็นสองขั้วชัดเจน..และยากจะคุยกันได้อีกต่อไป

แน่นอนว่า ในจำนวนนี้ย่อมมีคนที่อ้างว่า "เป็นกลาง" หรือ "ไม่ฝักใฝ่ใด" หรือสารพัดข้ออ้าง..ที่จะไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ
ต่อความเปลี่ยนแปลงในสังคม คนเหล่านี้..นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เรียกว่า "พวกชิงหมาเกิด" และใน
ความเป็นจริง คนเหล่านี้ก็คือบางส่วนของ พวกปฏิกิริยาชนชั้นกลาง ที่สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯมาแต่ต้นนั่นเอง แต่เมื่อ
เหตุการณ์ไม่ราบรื่น ก็เป็นธรรมชาติของคนประเภทนี้..ที่จะหนีเอาตัวรอด โดยอ้าง วาทกรรมความเป็นกลาง - นี่เป็น
ปัญหาใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯมาตั้งแต่ต้น ที่นำพวกปฏิกิริยาชนชั้นกลางเข้ามาร่วมขบวนการ

ขณะเดียวกัน - มวลชนของ นปช. ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก
คราวนี้มีมวลชนตำรวจชั้นผู้น้อย..เข้ามาร่วมกับ นปช. อีกเป็นจำนวนมาก เพราะ
ตำรวจชั้นผู้น้อยมองว่าตนเองก็กลายเป็น "เหยื่อความอยุติธรรมของอำมาตยาธิปไตย" เช่นกัน

วันที่ 11 ตุลาคม 2551 ผู้จัดรายการ"ความจริงวันนี้" และแกนนำ นปช. ได้นัดพบประชาชนที่เมืองทองธานี
โดยนัดแนะกันใส่เสื้อแดงเป็นสัญลักษณ์ นับเป็นการปรากฏตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก..ในฐานะ "คนเสื้อแดง"
แน่นอนว่า เสื้อแดง หรือการใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ มีมาตั้งแต่การรณรงค์คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และการ
ชุมนุมที่ม้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 ถือเป็นการชุมนุมครั้งแรกที่มีคนใส่เสื้อแดงมารวมกันมากมาย

อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึง "ความเป็นคนเสื้อแดง" จุดเริ่มต้นเป็นทางการคือ 11 ตุลาคม 2551

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2551
รายการ"ความจริงวันนี้"นัดพบประชาชนอีกครั้ง ที่ราชมังคลากีฬาสถานแห่งชาติ ซึ่งมีประชาชนเสื้อแดงมาร่วมประมาณ
หนึ่งแสนคน โดยคำนวณจากที่นั่งในสนามกีฬา พื้นที่บนสนาม พื้นที่บริเวณใกล้เคียงทั้งหมด

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2551
กลุ่มพันธมิตรฯขยายขอบเขตความรุนแรงมากขึ้น
โดยยกกำลังเข้ายึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติดอนเมือง
และยังมีการบุกเข้ายึดหอบังคับการบินที่สนามบินสุวรรณภูมิอีกด้วย
ทำให้เครื่องบินทั้งหมดไม่สามารถขึ้นลงได้สักลำเดียว มีสินค้าและผู้โดยสารตกค้าง..
ติดอยู่ในสนามบินอีกเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม การรัฐประหารที่ก็ยังไม่เกิดขึ้น
ส่วนการปราบปรามผู้ก่อการร้ายพันธมิตรฯที่ยึดสนามบินอยู่..ก็ไม่มีเช่นกัน
กล่าวกันว่ากองทัพไทย โดยเฉพาะพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เลือกที่จะขัดคำสั่งรัฐบาล (ถึงสองครั้ง) ในการไม่ปราบ
กลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ว่าเมื่อยึดทำเนียบรัฐบาล หรือยึดสนามบิน ขณะเดียวกัน พลเอกอนุพงษ์ ก็ขัดคำสั่งชนชั้นอำมาตย์
โดยไม่นำกำลังทหารออกมาก่อรัฐประหาร (ครั้งแรก 26 สิงหาคม 2551 เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯมายึดสถานีโทรทัศน์แห่ง
ประเทศไทย NBT เปิดทางไว้ให้ แต่ทหารก็ไม่กล้าออกมาสานต่อผลงาน)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ชนชั้นอำมาตย์ก็ต้องลงมือเองอีกครั้ง
วันที่ 2 ธันวาคม 2551 ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน..
อย่างรวดเร็ว และลัดขั้นตอนทุกอย่าง เป็นการปิดฉากรัฐบาลพรรคพลังประชาชน -
เท่านั้นยังไม่พอ ชนชั้นอำมาตย์ยังใช้พลังพิเศษในการบังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลหันมา
ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์..ในการตั้งรัฐบาลใหม่ แล้วดึงกลุ่ม สส. ทรยศจากพรรค
พลังประชาชนมาร่วมอีกสามสิบกว่าคน (ส่วนมากเป็นกลุ่ม เนวิน ชิดชอบ)

ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งบังคับยุบพรรพลังประชาชน กองทัพไทยได้นำกำลังทหาร พร้อมอาวุธสงคราม
ออกมาแสดงอาการข่มขู่ประชาชนผู้สนับสนุนพรรคพลังประชาชน ที่ชุมนุมกันอยู่ใกล้สถานที่ตัดสินคดี
และในวินาทีเดียวกันนั้น กลุ่มพันธมิตรฯยังคงยึดสนามบินนานาชาิติสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง ทำเนียบรัฐบาล
รวมทั้งทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่สนามบินดอนเมือง (ซึ่งอยู่ติดกับกองทัพอากาศ) ..โดยที่กองทัพไทยไม่เคยแสดง
อาการเดือดร้อนใดๆ ไม่เคยแตะต้องกลุ่มพันธมิตรฯ ซ้ำยังส่งกำลังไปคุ้มครองป้องกันเสียด้วย..

นี่คือการก่อรัฐประหารในรูปแบบใหม่..

และนี่กลายเป็นจุดแตกหัก..ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
ที่ประเทศแบ่งออกเป็นสองขั้ว เกลียดชังกันอย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ชนชั้นอำมาตย์เปิดสงครามกับประชาชน
เป็นครั้งแรกที่แนวร่วมประชาชนนับล้าน ประกาศเป็นศัตรูกับชนชั้นอำมาตยาธิปไตย

sff3.blogspot.com/2010/01/2549-2551.html

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker