บทความโดย...ปูนนก
ความเข้าใจเมื่อผมเกิด
ผมเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด พ่อและแม่บอกผมว่าผมโชคดีที่ได้เกิดเป็นคนเมืองกรุงเพราะจะมีโอกาสมากกว่าคนที่อยู่ต่างจังหวัด...จะได้มีสังคมที่ดี..มีโอกาสเรียนในที่ดี ๆ.. และมีโอกาสได้ทำงานทีดี ๆ
ในความเป็นจริง
แม้ผมจะเกิดที่กรุงเทพฯ แต่ผมก็ยังเป็นคนชั้นล่างของสังคมอยู่ดี โอกาสเรียนดี ๆ ที่หมายถึงก็คือผมได้เข้าเรียนในโรงเรียนประชาบาล...สังคมที่ดีที่พ่อแม่หมายถึงก็คือสังคมของชุมชนชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ โรงงานที่พ่อทำงาน...ไม่ใช่ปราสาทราชวังใด ๆ
ความเข้าใจเมื่อปี พ.ศ. 2516
ผมยังเด็กและที่บ้านไม่มีทีวี แต่ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากหนังสือพิมพ์บ้าง...ทีวีของคนข้างบ้านบ้าง...พ่อของผมกลับมาถึงบ้านด้วยเนื้อตัวมอมแมมในกลางดึกของคืนวันที่ 14 ตุลาคม แล้วก็บอกว่า พ่อวิ่งหนีทหารที่ยิงมาจากเครื่องบิน...วิ่งจากท้องสนามหลวงมาจนถึงโรงหนังเอ็มไพร์ แล้วจึงค่อย ๆ เดินหาทางกลับมาบ้านได้...สิ่งที่ผมเข้าใจก็คือเกลียดทหารที่เป็นเผด็จการทรราชเช่น ถนอม, ประภาส, ณรงค์ ที่ทำร้ายประชาชน และรู้สึกรักชื่นชมที่ประเทศไทยนี้สามารถมีผู้ที่เพียงแต่ออกมาพูดเพียงสั้น ๆ ไม่กี่ประโยคก็ทำสถานการณ์รุนแรงสงบลง
ในความเป็นจริง
เหล่านักศึกษาและประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างมืดฟ้ามัวดินเวลานั้น แม้จะทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์แต่ก็ถูกความกลับกลอกทางการเมืองหลอกล่อให้ตกเป็นเหยื่อ เพื่อจะได้ดำเนินการสร้างฐานอำนาจให้กับอำนาจโบราณได้มีบารมีกลับคืนมา ภายหลังที่สูญเสียไปหลายสิบปี..โดยไม่สนใจว่าประชาชนที่บริสุทธิ์นั้นจะสูญเสียเช่นไร
ความเข้าใจเมื่อปี พ.ศ. 2519
ผมเริ่มเติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นได้รับรู้เรื่องราวของสงครามอินโดจีน..และการขยายตัวอันน่ากลัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ผมทั้งกลัวและเกลียดคอมมิวนิสต์ความเข้าใจของผมเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ก็คือความเลวร้ายทั้งมวล...พวกนั้นจะมาทำลายชาติให้ล่มสลาย, จะทำให้พระสงฆ์ไปไถนาแทนควาย, คอมมิวนิสต์จะทำลายสถาบันพระมหา...อันเป็นที่เคารพสักการะ.. การล้อมสังหารนักศึกษาพวกที่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ที่ธรรมศาสตร์ จึงเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง และควรทำลายให้สิ้นทรากไม่เก็บเอาไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง...
ในความเป็นจริง
ผมถูกหลอก...ประชาชนถูกหลอกโดยการโฆษณาชวนเชื่อ...และการเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายจากผู้ครองอำนาจเผด็จการในประเทศนี้...เพราะความไม่ยอมรับรู้ความจริง..และไม่ยอมรับรู้ข่าวสารอย่างรอบด้านเพียงพอของประชาชนเอง..การเข้ามาเป็นแนวร่วมกลุ่มนวพล, กระทิงแดง, ลูกเสือชาวบ้าน ที่จริงก็คือการเข้ามาถูกล้างสมองเพื่อเป็นฐานกำลังค้ำจุนให้อำนาจเผด็จการโบราณยังคงครอบงำและกดขี่คนไทยในประเทศไทยต่อไปอีกต่างหาก...ซึ่งเลวร้ายกว่าคอมมิวนิสต์ด้วยซ้ำ
ความเข้าใจเมื่อปี พ.ศ. 2535
ผมผ่านชีวิตมาพอสมควรและเริ่มมองเห็นความไม่เป็นธรรมในสังคม..การยึดอำนาจแล้วเอาอำนาจนั้นมาสืบต่อกันโดยไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง..การตระบัตสัตย์ของ พล.อ. สุจินดา คราประยูร สร้างความโกรธแค้นให้กับผมและประชาชนจำนวนมาก..ร.อ. ฉลาด วรฉัตร เป็นจุดกระแสการต่อสู้ด้วยการ อดอาหาร.. แต่ในที่สุด พล.ต. จำลอง ก็กลายเป็น โมเดล ในการนำการต่อสู้.. เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมเกลียดทหารเผด็จการที่ทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์..และก็เป็นอีกครั้งที่ย้ำความชื่นชมให้กับผมและประชาชนไทยว่า...โชคดีเหลือเกินที่เกิดในประเทศที่มีผู้มีบารมีสามารถยุติความขัดแย้งทั้งปวงในชาติได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ...
ในความเป็นจริง
การประท้วงที่ถูกเรียกว่า “ม๊อบมือถือ” ได้กลายเป็นเหยื่ออันโหดร้ายของความขัดแย้ง และความไม่ลงตัวกันของขั้วอำนาจทางการเมืองของฝ่ายเผด็จการกันเอง...เป็นการปะทะกันของ “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” ที่หักหลังกัน, ช่วงชิงอำนาจกัน, เล่นละครหลอกลวงให้ประชาชนดู..โดยโฆษณาล้างสมองให้ประชาชนเข้าใจว่าเกิดเป็นฝ่ายเทพ และฝ่ายมาร.. ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว ไม่มีฝ่ายเทพ มีแต่มารล้วน ๆ และเป็นมารที่กำลังทะเลาะกัน โดยลากเอาประชาชนผู้บริสุทธิ์ทางความคิดและอุดมการณ์ให้เป็นเหยื่อผู้รับเคราะห์แทน...ซึ่งผู้เสียชีวิตเหล่านี้ถูกเรียกเสียสวยหรูว่า “วีรชน”
ความเข้าใจเมื่อปี พ.ศ. 2540
กระแสความต้องการรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยแรงมาก..กระตุ้นให้ผมโดดออกมาถือ “ธงเขียว” กับเขาด้วยเพื่อให้นำรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดเข้ามาใช้..ภายหลังการลงประชามติ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ได้ถูกประกาศใช้พร้อมกับการเกิดขึ้นตามมา..ของนักการเมืองรุ่นใหม่ ชื่อทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ในสโลแกน “คิดใหม่ทำใหม่” ประชาชนดีใจและเชื่อว่าต่อไปนี้ประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองและไม่มีอำนาจเผด็จการมาแฝงเร้นอีกต่อไป
ในความเป็นจริง
กระแสความต้องการรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นแม้จะถึงขั้นทำประชามติได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 มาใช้...แต่ก็ไม่ได้ทำลายอำนาจโบราณที่ครอบงำประเทศนี้ให้หมดสิ้นไป..อำนาจอันเลวร้ายนี้เพียงแต่เงียบสงบไปชั่วคราวเหมือนเชื้อโรคร้าย...ที่รอคอยจังหวะเวลา, โอกาสที่จะมายึดครองประเทศ...และสูบเลือดเนื้อประชาชนไทยต่อไป...โดยที่ประชาชนเองก็ไม่เคยรับรู้ หรือสำเนียกว่า...พวกเขาเองนั่นแหละที่ได้อุ้มชูอำนาจอันเลวร้ายนี้เอาไว้โดยไม่รู้ตัว....
ความเข้าใจเมื่อปี พ.ศ. 2549 (ก่อนวันที่ 19 กันยายน)
10 ปีผ่านไปภายหลังการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 พร้อมกับนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศ.. ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองโสภาสถาพร..เป็นที่เชิดหน้าชูตากับบรรดานานาชาติ..ประชาชนในชาติต่างก็เริ่มที่จะลืมตาอ้าปากได้ จากที่เคยเป็นหนี้ IMF ก็สามารถใช้หนี้ได้ก่อนกำหนดถึง 2 ปี ราคายางพาราจากที่เคยเพียงแค่ กิโลกรัมละ 19 บาท และต้องมีไฟไหม้โกดังเก็บยางแทบทุกปี ราคากลับทะลุไปถึงเกือบ 100 บาทต่อ กิโลกรัม...ข้าวหอมมะลิเกวียนละกว่า 15,000 บาท ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน...เศรษฐกิจชาติเจริญรุ่งเรืองจากประเทศผู้กู้ กลายเป็นประเทศผู้ให้กู้...ประเทศไทยมีสนามบินที่สวยที่สุดในโลกในเวลานั้นคือสุวรรณภูมิ..จะเรียกว่าประชาหน้าใส ก็คงได้
ในความเป็นจริง
ประเทศมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเป็นนักธุรกิจ..ด้วยเหตุนี้โครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจึงมีวาระซ่อนเร้นบางประการ..ถึงแม้ผลการบริหารทำให้ธุรกิจของชาติเจริญขึ้น..ประชาชนในชาติรวยขึ้น..แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ธุรกิจของตระกูลนายกทักษิณ และผู้ใกล้ชิดก็ได้รับผลประโยชน์ไปด้วยในคราวเดียวกัน..แม้จะไม่ใช่การคดโกงโดยตรง...แต่การมีผลประโยชน์ร่วมกันในความเจริญที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติในลักษณะนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย...จึงทำให้อำนาจโบราณที่ไม่ได้สูญหายแต่หลบซ่อนอยู่ไม่พอใจ..และหาจังหวะทำลายความเจริญแบบนี้..ด้วยการวางแผนยึดอำนาจ..
ความเข้าใจเมื่อปี พ.ศ. 2549 (ภายหลังวันที่ 19 กันยายน จนถึงเวลานี้)
ตกใจและรู้สึกสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน.. ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดรัฐประหารขึ้นในยุคสมัยนี้อีก..นึกว่าหมดไปตั้งแต่ยุค พฤษภาทมิฬ แล้ว...ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายที่เกิดจากการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม พันธมิตร เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา...แม้ว่าการรัฐประหารจะดูเหมือนวุ่นวายน่าตกใจแต่สถานการณ์ก็ค่อนข้างสงบเรียบร้อย..ความเชื่อความศรัทธายังคงมีอยู่เสมอว่า..ประเทศไทยโชคดีที่ยังมีใครบางคนที่เป็นที่พึ่งให้กับประเทศนี้ได้..และน่าจะเป็นความหวังให้กับคนไทยทั้งชาติที่จะนำพาประเทศชาตินี้ไปสู่ความสุขอีกครั้ง...
ในความเป็นจริง
เฮ้ออ...ผมเข้าใจผิด..ผมก็เหมือนกับประชาชนไทยจำนวนมากมายเหลือเกินที่เชื่อว่า...พระสยามเทวาธิราชในประเทศไทยมีจริง และทรงคุณอันประเสริฐ..ซึ่งจะนำพาให้ประเทศนี้ผ่านความทุกข์ยากลำบากไปได้ด้วยดี..แต่ในความเป็นจริงแล้วผมถูกหลอกล้างสมองมาหลายสิบปีที่ถูกทำให้เข้าใจเช่นนั้น..หลังการรัฐประหารยึดอำนาจผ่านไป..ภาพได้ถูกฉายส่องเข้าไปในส่วนที่มืดที่สุดของอาณาจักรโบราญที่ยึดครองประเทศนี้..ทุกองคพยพ..ทุกหน่วยงานสถาบันที่เป็นเครือข่ายที่เรียกกันว่า “อมาตย์” องคมนตรี, องค์กรอิสระ, NGO, สื่อมวลชน, อัยการ, ศาล, หน่วยงานของรัฐ และเครือข่ายอื่น ๆ เหล่านี้ที่พูดกรอกหูผมและคนไทยทั้งชาติให้เข้าใจว่า “คนดี” ก็คือ คนที่พวกเขาเหล่านั้นบอกว่า “ดี” แต่ในความเป็นจริงแล้ว “คนดี” เหล่านั้นก็ไม่แตกต่างจาก “โลงใส่ศพ” ที่ภายนอกดูสวยงาม แต่ภายในกลับมีแต่สิ่งเน่าเหม็น และโครงกระดูกอันน่าสะอิดสะเอียนเท่านั้นเอง
สิ่งที่จะทำต่อไปเมื่อได้รับรู้ความจริง
ผมถูกหลอกมาเกือบทั้งชีวิตว่า “ประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย” แต่ในวันนี้ผมได้รู้แล้วว่า ไม่ใช่เช่นนั้น ประเทศนี้ถูกปกครองโดยกลุ่มอมาตย์ที่มีอำนาจเหนือคนไทยทั้งชาติโดยไม่สนว่าคนไทยคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร... ถึงเวลาแล้วที่ผม “ตาสว่าง” จากความจริงที่ได้รับทราบ...และต้องทำทุกวิถีทางที่ทำได้ เพื่อจะนำประชาธิปไตยอันแท้จริงกลับมาคืนสู่ประเทศไทยนี้ให้จงได้.... และเชื่อว่า “ผมจะไม่ได้เดินไปบนเส้นทางนี้คนเดียว แต่จะมีพี่น้องคนไทยที่ ตาสว่าง เหมือนผมเดินไปด้วยกัน...เพื่อลูกหลานของเราที่จะเติบโตต่อไปในประเทศนี้ จะได้มีชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป....เราจะเดินไปด้วยกันและพร้อม ๆ กัน”
ปูนนก