คอลัมน์
คำต่อคำ..ทักษิณ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2706 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 31 ธันวาคม 2009
โดย กองบก.โลกวันนี้รายวัน ถอดความ
ปี 2552 เป็นปีแห่ง 2 มาตรฐานที่รัฐบาลกล้าที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้อยู่ได้นานที่สุดโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง พยายามไล่ต้อนพวกที่รักประชาธิปไตย พวกที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล และคนเสื้อแดงให้จนมุม ทำให้ระบบและอะไรต่างๆเสื่อมไปหมด ปีใหม่หวังว่าอะไรดีๆจะเกิดขึ้น และถึงเวลาที่จะหันหน้าเข้าหากันเพื่อความปรองดองได้แล้ว ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “เล่าสู่กันฟัง” (ทอล์ค อะราวนด์ เดอะ เวิลด์) ประจำวันอังคารที่ 29 ธันวาคม 2552 โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
เส้นเลือดฝอยในตาแตก
สวัสดีครับพี่น้องครับ วันนี้ถือว่าเป็นวันอังคารสุดท้ายของปี 2552 หรือปี 2009 เป็นรายการส่งท้ายปีเก่า วันอังคารหน้าก็เป็นวันต้อนรับปีใหม่ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันเรื่องปีใหม่ แต่วันนี้ขอคุยเรื่องปีเก่าก่อน ท่านอาจจะเห็นผมตาแดงนิดหนึ่งข้างซ้าย เดาเอาว่าเป็นเส้นเลือดฝอยในตา อยู่ที่นี่ต้องหัดช่วยตัวเอง รักษาเอง ที่บ้านเคยส่งยาหยอดตามาให้ ก็หยอดไปเรื่อย และก็กินยาปฏิชีวนะไปเรื่อย ก็จางไปเยอะ วันแรกแดงจนตกใจ แต่ก็ช่วยตัวเองได้ อีกหน่อยกลับไปก็ไปเป็นหมอตี๋ช่วยรักษาได้
เมื่อคืนดูแมนฯ ซิตี เพลินไปหน่อย แมนฯ ซิตี แข่งกับวูล์ฟฯ ชนะ 3-0 แต่ยังเล่นไม่เข้าฟอร์มเท่าไร การประสานงานไม่ดีเท่าที่ควร แต่ความเร็วดีก็เลยชนะ ผมยังติดตามแมนฯ ซิตี อยู่ เพราะเคยเป็นเจ้าของมา ความรักความผูกพันก็ยังมีเหมือนเดิม
ปี 52 ปีแห่ง 2 มาตรฐาน
จะหมดปีเก่าแล้ว เป็นปีที่เราอึดอัดพอสมควร ปี 52 ผมครบ 60 ปีพอดี ปีวัวเป็นปีที่ผมเกิด แต่เป็นปีที่ไม่ดีสำหรับประเทศไทย ค่อนข้างแย่ เป็นปีที่เราคงเห็นระบบ 2 มาตรฐานได้พัฒนาขึ้น จากธรรมดาเป็น 2 มาตรฐานที่หน้าหนาขึ้น ไม่อายมากขึ้น และกล้าออกมาปฏิเสธโดยไม่สนใจอะไรเลย เรื่องที่เห็นได้ชัดคือเรื่องการยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ปีกว่าแล้วไม่กล้าทำอะไร แต่ขณะเดียวกันคนเสื้อแดงทำอะไรนิดก็โดน ประกันตัวแล้วประกันตัวอีก จนเขาไม่กลัวแล้ว เพราะไม่มีความยุติธรรมในบ้านเมือง
อีกเรื่องที่เห็นได้ชัดคือ การยุบพรรคพลังประชาชน ไทยรักไทย พยานเท็จก็เอา พยานจริงก็เอา พิจารณาอย่างรวดเร็ว ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเช้าพิพากษาบ่าย แต่ของพรรคประชาธิปัตย์เลื่อนแล้วเลื่อนอีก กรรมการบางคนก็พูดกับคนใกล้ชิดว่าทำไม่ได้หรอกเพราะเขาสั่ง ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร ก็เป็นอะไรที่มันสุดๆแล้วครับ แล้วก็เรื่อง ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ก็เป็น ปชป. (พรรคประชาธิปัตย์) ไปแล้ว ไม่มีความเป็นธรรม วันนี้รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขประกาศลาออก ก็เป็นการตัดตอนรายที่ 3 คดีปลากระป๋องเน่า ชุมชนพอเพียง มาถึงโครงการใครเข้มแข็ง คงไม่ใช่ไทยเข้มแข็ง จริงๆแล้วไม่ควรจบที่นี่ เพราะเป็นการคอร์รัปชันเชิงนโยบายที่เห็นได้ชัด ป.ป.ช. ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากกลายเป็น ปชป. ไปแล้ว
เสื้อแดงไม่มีวันตาย
ปี 52 เห็นชัดว่าเป็นปีแห่ง 2 มาตรฐาน เพิ่มความขัดแย้งลงไปเรื่อยๆ เพราะความไม่ยุติธรรมเป็นการสร้างตัวอย่างเลวๆในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย ใช้กระบวนการยุติธรรมจัดการพรรคการเมือง ใช้การซื้อ ส.ส. เอารัฐมนตรี เอาโควตาพิเศษเข้าล่อ เอาทหารเข้ามากดดัน ไปตั้งรัฐบาลผสมในค่ายทหาร เป็นงูเห่าพันธุ์ใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิม ชัดเจนว่าเป็นตัวอย่างที่แย่มากของการทำลายประชาธิปไตย หวังว่าปี 52 สิ่งเหล่านี้ควรจบหรือเบาบางลง เพราะจริงๆแล้วทุกฝ่ายก็ได้ยื่นข้อเสนอว่าทำยังไงถึงจะเกิดความสงบในชาติ เกิดความปรองดอง ซึ่งไม่ได้เกิดข้างเดียว อย่างวันนี้บอกสมานฉันท์ แต่พร้อมกันนั้นก็สร้างความไม่เป็นธรรม 2 มาตรฐาน และหน้าหนาขึ้นทุกวัน แล้วถามว่าจะสมานฉันท์ตรงไหน ไม่มีทางครับ และคิดว่าการที่ไล่บี้เสื้อแดงก็ดี ฝั่งที่รักประชาธิปไตยก็ดี ฝ่ายค้านให้ตายหรือสูญพันธุ์ เป็นไปไม่ได้ครับ เป็นไปไม่ได้จริงๆ
วันนี้เราต้องอยู่ด้วยเหตุผล ถ้าปล่อยอย่างนี้คนที่ช้ำที่สุดคือประชาชน แน่นอนครับประชาชนรวมกันเป็นประเทศช้ำ มองไม่เห็นว่าอนาคตเราจะเข้มแข็งได้อย่างไรถ้าเป็นอย่างนี้ ยินดีครับถ้าเมื่อไรคืนความเป็นธรรมให้สังคม ให้ประชาธิปไตยกลับมาสู่สังคม ทุกฝ่ายก็พร้อมที่จะหันหน้าเข้าหากัน แต่วันนี้รัฐก็ดี อำมาตย์ก็ดี เพิ่มความมั่นใจขึ้นว่าจะสามารถบี้เสื้อแดง บี้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยให้ตายไปข้างหนึ่ง นี่เป็นลูกไม้ที่โบราณมาก ทำได้แค่ครั้งสองครั้ง แต่พอหลายครั้งประชาชนก็ต้องลุกฮือ
บ้านเมืองเราไร้กฎกติกา
ที่ผมพูดไม่ได้วิตกอะไร เพราะว่าผมเองก็สบายๆ อยากจะบอกกับท่านที่คิดว่าจะทำวิธีนี้ จะต้องใช้เวลาอีกนาน ไม่จบ แต่ประชาชนและประเทศช้ำ ปีใหม่นี้เราจะเปลี่ยนทัศนคติกันใหม่ไหม เราจะหันหน้าเข้าหากันเพื่อให้ไทยเข้มแข็งจริงไหม ไม่ต้องใช้งบ 800,000 ล้านบาทหรอก งบนี้ไทยไม่เข้มแข็ง ใครไม่รู้เข้มแข็ง ไทยจะเข้มแข็งได้ต้องหันหน้า ต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และต้องเลิกรังแกกัน เมื่อระบบไม่ยุติธรรมแบบนี้บ้านเมืองก็ไปได้ อนาคตลูกหลานก็มองเห็น ผมยิ่งเดินทางมากเท่าไรก็เห็นชัดว่าทั่วโลกการทำมาหากินไม่ฝืดเคืองเท่าบ้านเรา และใครจะทำมาหากินหาเงินได้เท่าไรเขามีกติกา ใครได้ดีก็ส่งเสริมกัน กติกาทัดเทียมกันชัดเจน ของเราไม่มีความชัดเจนอะไร ถ้าประเทศเราประชาธิปไตย ความยุติธรรมชัดเจน ผมคิดว่าบ้านเมืองมีอนาคต บ้านเรามีศักยภาพจะตาย
วันนี้อากาศที่นี่เย็น ทีมงานก็เลยบอกว่าออกมาข้างนอกดีกว่า ให้ประชาชนเห็นว่าที่นี่ทะเลทรายแท้ๆ ต้นไม้ก็อุดมสมบูรณ์ เพราะเขาใช้น้ำทะเลมาเป็นน้ำจืด ให้ประชาชนเอามาเป็นน้ำประปา ใช้เสร็จแล้วก็เอามาบำบัด มารดน้ำต้นไม้ฟรี แต่ถ้าเราใช้น้ำประปารดก็แพงมาก ก็เล่าให้ฟังว่าทุกที่เขาเนรมิตได้ อย่างวันนั้นซาอุดีอาระเบียมาชวนผมไปเนรมิตเมืองริมทะเลแดงที่อยู่ใกล้เมกกะเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ให้คนมุสลิมเข้าได้เท่านั้น เขาจะไปสร้างเมืองห่างจากเมกกะไป 60 กว่ากิโลเมตร เพื่อให้คนที่มาแสวงบุญอยู่ข้างนอกบ้าง นี่คือสิ่งที่เขาจะเนรมิต เขามีเงินเยอะแยะ แต่เขาก็หาเป็น ไม่กู้เป็น ถ้ากู้ใครๆก็ทำได้
ถึงเวลาหันหน้าเข้าหากันแล้ว
เป็นอะไรที่ผมเสนอว่า สิ้นปีเก่าอำมาตย์ที่แผลงฤทธิ์มาตลอด ทั้งแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม สื่อ สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำก็ยิ่งจะเสื่อมทั้งระบบ วิธีที่ดีที่สุดคือหันหน้าเข้าหากัน อย่าไประแวงกันทุกอย่าง ให้ทุกอย่างเดินไปตามระบบ ทุกอย่างก็จะเป็นระบบ คนไทยเป็นคนมีวินัยและรักตัวเอง ที่สำคัญทุกคนรักพระเจ้าอยู่หัว ต้องให้ระบบเดินด้วยระบบ เมื่อไรที่คนแทรกแซงระบบ คนก็เสีย ระบบก็เสีย วันนี้เสียไปเยอะมากๆ อยากฝากว่าพอหรือยัง ไม่พอก็ไม่เป็นไร ถ้าเห็นแก่ส่วนรวม ถ้าอยากให้ประเทศมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไม่ยากครับ เพราะคนไทยรักกันอยู่แล้ว
บางบ้านสามีภรรยาคนละสี กลับบ้านก็ไม่คุยกันเรื่องการเมือง วันหนึ่งผมได้รับ SMS จากแฟนคลับมาเล่าให้ฟังว่าสามีเป็นสีเหลือง สามีบอกว่าเลือกตั้งงวดหน้าจะลงคะแนนให้เสื้อแดง ผมก็เลยส่งกลับไปว่าขอยินดีด้วยที่บรรยากาศโรแมนติกจะกลับมาสู่บ้านท่านอีกครั้ง นี่คือความรู้สึกที่ผมอยากเห็น ทุกบ้านก็อยากเห็น แน่นอนจากบ้านไปสู่ชุมชน จากชุมชนก็ไปสู่ที่ใหญ่กว่า เราอยากเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสังคมไทย แต่การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ความพยายามที่จะทำลายกันไปข้าง ความพยายามที่จะเอาเปรียบทางการเมืองไม่มีประโยชน์ครับ เราต้องให้สังคมกลับเข้าสู่ระบบ ก็ฝากไว้ ไม่ทำก็ไม่เป็นไร
ชอบมั่วตัวเลขอยู่เรื่อย
วันนี้ขอวิจารณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย วันนี้ก็ยังน่าเป็นห่วง สิ่งที่เป็นปัญหาวันนี้คือ รัฐบาลทำนายผิดตลอดว่า GPD จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คืออย่าไปคิดว่าทำนายผิดทำนายใหม่ได้ แต่มันเกี่ยวข้องกับแผนการใช้เงิน แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเราไปทำนายว่าเป็นบวก แต่มันเป็นลบก็เสียหาย และต้องมีแผนรองรับ ตอนที่ผมเป็นนายกฯ แบงก์ชาติมาทำนายให้ผมฟัง ผมก็ถามว่าที่คุณทำนายเนี่ยคุณรู้หรือยังว่ารัฐบาลกำลังจะมีแผนทำอะไร เขาบอกว่าเขาทำนายตามตัวเลขในอดีต นี่ถือว่าเป็นทฤษฎีเก่า ใช้วิธีการลากเส้นจากอดีตมาถึงปัจจุบัน ซึ่งล้าสมัยมาก ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไปเร็ว การทำนายมันทำนายได้ไม่ละเอียดหรอก ต้องใช้แบบจำลองว่าเราทำแบบนั้นจะเป็นแบบนี้ ซึ่งคนที่ได้รับโนเบลคนหนึ่งก็ใช้แบบทดลองนี้
วันนี้รัฐบาลไปทำนายว่าไตรมาส 4 สิ้นปีนี้เราจะติดลบ 3% เดิมทีบอกว่าจะบวก 3% แต่ว่าถ้าจะลบ 3 ได้ ไตรมาส 4 ต้องบวกไม่น้อยกว่า 3 ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย ตัวเลขส่งออกก็น่าเป็นห่วง ปัจจุบันส่งออกเราก็ชะลอตัว ตัวเลขการลงทุนจากบีโอไอ 11 เดือนแรกการลงทุนลดลงมาก ทุนจดทะเบียนของต่างชาติ การจ้างงานก็ลดลง ให้เห็นว่าหนักอยู่ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปก็ปรับตัวลดลง ถือว่าการบริโภคยังไม่อยู่ในภาวะปรกติ ส่วนหนี้สาธารณะเบิกเงินไปยังไม่เต็มที่ ปีนี้ติดลบ 3% กว่าๆ บวกกับงบไทยเข้มแข็ง จะทำให้หนี้ GDP ยันไป 60% กู้เงินยากขึ้น อาจถูกลดความน่าเชื่อถือลง นี่ต้องบริหารกันอย่างละเอียด ต้องดูตัวเลขตลอดเวลา ต้องสร้างความสมดุลการใช้จ่ายและรายได้ให้ไปด้วยกันได้ สิ่งที่เป็นปัญหาของรัฐบาลคือประเมินสถานการณ์ผิด ที่สำคัญคือไม่มีมาตรการหาเงินเข้าประเทศ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามระบบมากเกินไป คือไม่ได้ดูเรื่องรายได้
ฆ่าตัดตอนไป 3 ทุจริตไม่หมด
เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องคือหนี้ที่พยายามโอนหนี้นอกระบบมาไว้ในระบบ เป็นห่วงที่ว่าไม่ได้ช่วยเจรจาหนี้ให้กับลูกหนี้ เพราะลูกหนี้ไม่มีกำลัง เจ้าหนี้เขาเส้นใหญ่ มีอิทธิพล สมมุติว่าผมกู้ไป 100 บวกดอกเบี้ย 500 พอเป็นหนี้ 500 ก็ผ่อนกันหัวโตเลย ถ้าไม่คุยกัน ลูกหนี้รายย่อยกันทั้งนั้น เสร็จเลยครับ ทั้งหนี้การพนัน หนี้ยาเสพติดจะเข้ามาตรงนี้หมด นี่ต้องเจรจาครับจะได้มีการต่อรองเพื่อให้ชาวบ้านจ่ายได้
ปัญหาคือการทุจริตของรัฐบาลที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะฆ่าตัดตอนไป 3 ราย ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ทุจริตหนักกว่า 3 รายก็มี แต่รัฐบาลไม่กล้าแตะ ทั้งพรรคร่วมหรือคนในพรรคตัวเอง เพราะผมได้รับรายงานตลอดถึงรู้ ตอนนี้เขาทำกันเต็มที่ ต่อไปใครมาเป็นรัฐบาลก็คงไม่แย่เท่านี้หรอก เพราะว่าไม่มีกรรมการเข้าข้างแบบนี้อีกแล้ว คุณชายสะอาดก็เอาไม่อยู่
อย่าคิดว่ารัฐสวัสดิการดี
อีกอันที่น่าเป็นห่วงคือ ด้านพลังงานของไทย กระทรวงพลังงานประเมินว่าปีหน้าความต้องการใช้ก๊าซ LPG น่าจะอยู่ประมาณ 12 ล้านตัน เราจะมีปัญหาเรื่องความไม่สามารถหาก๊าซมาใช้ได้ ต้องนำเข้าแม้จะเสียตังค์เยอะหน่อย กองทุนพลังงานจะติดลบ ซึ่งอาจจะติดไปถึงหมื่นกว่าล้าน อีกเรื่องที่อยากฝากบอกนายกฯว่าจะนำประเทศไทยเข้าไปสู่รัฐสวัสดิการ ผมกำลังคิดว่าท่านเข้าใจคำว่ารัฐสวัสดิการมากแค่ไหน ความจริงท่านเกิดและโตที่อังกฤษน่าจะเข้าใจ ยุโรปทำกันเยอะ
แต่ท่านรู้ไหมว่าประเทศที่ทำรัฐสวัสดิการเขากำลังบ่นว่าสร้างวัฒนธรรมไม่ค่อยดีเท่าไร ประเทศเดนมาร์ก สวีเดน ฝรั่งเศสก็ดี มีสัดส่วนด้านสวัสดิการมากเป็น 40% สรุปแล้วเขามีรายได้ต่อ GDP สูงกว่ารายจ่ายสวัสดิการ แต่ประเทศเราฐานเล็ก เราจะเหนื่อยถ้าเป็นรัฐสวัสดิการ บางเรื่องที่เราให้บางคนเขาไม่ต้องการ แต่สิ่งที่ผมทำไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นแต้มต่อให้กับประชาชนที่อ่อนแอทางเศรษฐกิจ อย่าคิดว่ารัฐสวัสดิการเป็นเรื่องที่ดี ให้เขาอยู่ได้ แต่ไม่ได้สร้างนิสัยให้เขาไม่ต้องทำอะไร ขณะเดียวกันรัฐบาลก็บอกว่าจะลดภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมว่าลดไม่ได้หรอกเพราะรายได้เราไม่พอ ผมคิดว่าเพิ่มภาษีมากกว่า ต้องคำนึงถึงรายรับรายจ่ายให้ดี
ถึงยุคเอเชียรุ่งโรจน์
กลับมาเศรษฐกิจโลก สื่อทุกสื่อวิเคราะห์ออกมาตรงกันว่า เศรษฐกิจปี 2010 อยู่ตัวแล้ว แต่เปราะบางเหลือเกิน เพราะว่าความต้องการหรืออุปสงค์ของโลกยังต้องอาศัยการช่วยเหลือจากรัฐบาล เพราะความต้องการการบริโภคที่เพิ่มขึ้นไม่ดี ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็ลงอย่างต่อเนื่อง แบงก์ที่อ่อนแอก็ยังมีอยู่ ความฟื้นตัวยังต้องอาศัยรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ความต้องการของประเทศที่ร่ำรวยก็ยังต่ำ ต่อไปอังกฤษ อเมริกา จะเจอต้นทุนในการกู้ยืมสูง สิ่งที่ต้องห่วงคือน้ำมัน อัตราการว่างงานก็สูงขึ้น อเมริกายังไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ดอลลาร์ก็ขึ้นๆลงๆผันผวนมาก แต่ที่น่าชื่นใจของเอเชียคือจีนโต 8% และจีนกับอินเดียจะทำให้เอเชียเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น
ตอนนี้เห็นชัดว่าพลังอำนาจจะย้ายจากตะวันตกมาเอเชีย เขาเรียกว่าเป็นศตวรรษแห่งเอเชีย และหลายประเทศก็มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง วันนี้เอเชียค่อนข้างจะไปได้ดีเป็นส่วนใหญ่ เราในฐานะที่เป็นประเทศที่อยู่ในเอเชียจะทำยังไง แล้วทำยังไงเราถึงจะเกาะไปกับจีนและอินเดีย ท่านจำได้ไหมตอนที่ผมเป็นนายกฯ ผมเน้นที่จีนและอินเดียมากเพื่อสร้างความใกล้ชิด ผมพูดไว้เองว่า 5 ปี อินเดียจะตามจีนไปติดๆ แต่ก้าวไม่เท่าเพราะระบบจีนก้าวเร็วมาก เรื่องของพลังงานทดแทน พลังงานชีวภาพ ก็ต้องเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่วูบๆวาบๆ ต้องส่งเสริมกันจริงจัง
ถึงเวลาหาพลังงานทางเลือก
มาพูดถึงจีนน่าสนใจ เมื่อ 2 วันก่อนจีนเปิดรถไฟความเร็วสูงที่เร็วที่สุดในโลก จีนเขามีกำลังซื้อ เขามีฐานประชากรใหญ่รองรับ เขาก็ใช้ประโยชน์ ทุกอย่างเดินอย่างมียุทธศาสตร์ ประเทศเขาใหญ่โต ยังมีคนสัญจรเยอะ เขาก็ช่วยกันทำจนได้รถไฟความเร็วสูงขึ้นมา และโรงงานพวกนี้ก็ทำที่จีนและไปขายต่อ เขาเดินทุกก้าว ทุกความเคลื่อนไหว เขาก็มียุทธศาสตร์
ที่ UAE ที่ที่ผมอยู่เนี่ยคือดูไบ มีเมืองหลวงคืออาบูดาบี ที่กำลังลงทุนไฟฟ้านิวเคลียร์ เขาคิดว่าลงทุนอะไรใหญ่ๆก็ลงทุนไป ดีกว่าเก็บเป็นดอลลาร์ เพราะเขารู้ว่าข้างหน้าน้ำมันหมด ก๊าซหมด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังอยู่ได้ ค่าใช้จ่ายถูกแต่ลงทุนสูง เพราะเขามีทุนอยู่แล้ว เขากล้าลงทุนเพราะเงินเขาเยอะ ที่สนใจคือเขาเซ็นสัญญาจ้างเกาหลีใต้ เป็นครั้งแรกที่เกาหลีส่งออกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทำไมเขาเลือกเกาหลีใต้ เพราะว่าเกาหลีใต้ไม่มีปัญหาเรื่องการเมือง ไม่วุ่นวายกับเขา เขาโกรธอเมริกาที่เขาไปประมูลท่าเรือได้ แต่อเมริกาเอาเข้าสภาแล้วไม่ยอมให้เขาไปลงทุน นี่คือยุทธศาสตร์ที่แต่ละประเทศเขาเดินกัน
คนเราต่างกันที่ปัญญา
ลูกสาวผมเขาเอาหนังสือมาให้ผมอ่าน หนังสือเรื่องเอาต์ ไลร์เออร์ เขียนโดยมาคอม กาสเวล เป็นสื่อมวลชนและนักวิจารณ์เกี่ยวกับวัฒนธรรม เขาไปเก็บรวบรวมชื่อคนที่เป็นเศรษฐี คนที่ประสบความสำเร็จ พบว่าคนที่ประสบความสำเร็จจะไม่เหมือนคนอื่นๆ เขาบอกว่าจากการที่เอาคนต่างๆมาดูพฤติกรรม ประวัติความเป็นมา พบว่าหลักการที่เข้าใจความสำเร็จของมนุษย์เรามักถามด้วยคำถามผิดๆว่าเขาเป็นคนยังไง ซึ่งเขาบอกว่ามันผิด วิธีที่ควรถามต้องถามว่าเขามาจากไหน ทำไมถึงมาได้ไกลขนาดนี้ เขาบอกว่าเบื้องหลังความสำเร็จจริงๆไม่มีอะไรเลย จุดสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตคนมีอยู่ 2 ข้อคือ วัฒนธรรมที่เติบโตมาอย่างไร อันที่ 2 แล้ววิถีชีวิตที่เขาใช้ในอดีตอย่างไร ผมว่าอ่านแล้วจะเปลี่ยนชีวิตของเรา ท้าทายให้เราพัฒนาศักยภาพของตัวเราเองให้ไปถึงจุดที่เราทำได้ การท้าทายเกิดจากตัวเอง และรัฐควรจะให้ รัฐควรเปิดโอกาสให้คนได้ท้าทายศักยภาพของคน
อีกเล่มที่อยากจะแนะนำในยามนี้ โดยเฉพาะปี 2010 ที่ต้นปีหุ้นจะเป็นกระทิงเปลี่ยว เป็นหนังสือชีวประวัติของวอร์เร็น บัฟเฟตต์ เป็นนักเล่นหุ้นที่เก่งที่สุดของโลก อายุ 80 นิดหน่อย หนังสือชื่อสโนว์ บอล คือเรื่องเล็กๆ พอเดินแล้วมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนลูกหิมะที่ปั้นกลมๆแล้วกลิ้งลงไปก็จะเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หนังสือเล่มนี้น่าสนใจตรงที่ว่าประวัติของเขามีอะไรน่าสนใจเยอะ สิ่งที่แยกระหว่างความยิ่งใหญ่ไปจากสิ่งธรรมดาคือ ความฉลาด ปัญญามนุษย์ สิ่งที่แยกการเป็นคนที่ยิ่งใหญ่กับคนธรรมดาต่างกันตรงปัญญา คือคำว่าบริลเลียนท์ แปลว่าเก่งมาก ฉลาดมาก แต่ถ้าคนจะเป็นอัจฉริยะได้จะต้องมี 3 อย่างคือ ปัญญา ความทะเยอทะยาน และความสนุกสนานร่าเริง ถ้าเด็กจะฉลาดต้องค้นพบตัวเองว่าชอบอะไร คนเหล่านี้ค้นหาตัวเองว่าชอบอะไรและก็ทำอยู่อย่างนั้น ผมก็คงเล่าได้สั้นๆแค่นี้ เพราะครบ 1 ชั่วโมงแล้ว
เมื่อวานนี้ (28 ธันวาคม) มีการประกาศว่าประเทศในเอเชียได้ลงขันเพื่อให้เก็บเงินไว้เป็นกองกลางในการช่วยเหลือกันยามฉุกเฉิน วันนี้ก็เป็นจริงเป็นจังสักที ครับ มาตอบคำถาม 11 มกราคม ท่านจะมาร่วมงานที่เขายายเที่ยงไหมครับ... ไปได้ไปแน่นอนครับ เพราะ 2 มาตรฐานแบบนี้ สื่อตั้งฉายารัฐบาลว่าใครเข้มแข็ง ท่านจะตั้งว่าอย่างไรครับ... ก็ไม่อยากอะไรมาก เพียงอยากบอกว่ารัฐบาลต้องรีบปรับตัวได้แล้ว ขอให้คืนให้ประชาชนดีกว่า ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ