เฉลิมปูด ปชป.เอาเงิน กกต. ไปหาเสียงเลือกตั้ง ผู้ว่ากทม. เผยเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจอภิสิทธิ์-กษิต ท้ามาร์คยุบสภา ถ้าสนธิ ลิ้มทองกุลได้เสียงข้างมากก็เป็นนายกฯ ไป
22 ม.ค. เวลา 13.30 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อมาให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการในกรณีถูกร้องเรียนว่าปราศรัยหาเสียงระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า สมัยที่ตนไปหาเสียงให้พรรคเพื่อไทย ที่ จ.สกลนคร ตนได้ปราศรัยแบบประชดประชันเพราะพรรคเพื่อไทยถูกดูหมิ่น ดูแคลนจากฝ่ายการเมืองหลายพรรคว่าเป็นพรรคหัวขาด เป็นพรรคไม่มีหัวหน้าพรรค เป็นพรรคที่เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ตนจึงได้พูดประชดไปว่าไม่ต้องมาถามหาหัวหน้าพรรคหรอกเพราะหัวหน้าพรรคอยู่ที่นครดูไบ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะข้อแรก พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลสั่งจำคุก 2 ปี ข้อที่สองท่านพำนักอยู่ต่างประเทศ และสามท่านถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี
“สิ่งที่ผมได้ปราศรัย มันเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนกรณีที่ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาว่า จำเลยกล่าวหาโจทก์ว่าโง่เหมือนควาย ศาลก็บอกว่าไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะคนจะเป็นควายไม่ได้ ซึ่งนี่ก็เช่นเดียวกัน จะไปพูดยังไงก็ไม่มีใครเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริง เพราะโดยทางนิตินัย ท่านยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ท่านเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอยู่ และที่สำคัญ ผมก็เห็นหลายคนที่ถูกเว้นวรรคทางการเมือง ก็ไปกอดกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งรัฐบาลชุดนี้”
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ ก็ได้เข้าไปพบผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นนาย บรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และได้กอดกลมดิกกับนายเนวิน ชิดชอบ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แต่พอตนปราศรัยเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมีคนมาร้องเรียน ซึ่ง กกต. ก็ต้องทำตามหน้าที่จึงได้เรียกมาสอบสวน เช่นเดียวกับ กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน วีดีโอลิงค์เข้ามาที่พรรคเพื่อไทย โอ้โหจะเป็นจะตายจะยุบพรรคเพื่อไทย แล้วทีผู้ถูกตัดสิทธิ์ฯ ที่อยู่ในพรรคร่วมประชุมกันเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับไม่มีคนมาร้องเรียนทั้งที่ชัดเจนมากกว่ากรณีพรรคเพื่อไทย
ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โทรมาปรับทุกข์ผูกมิตรให้กำลังใจสมาชิกพรรคและ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า พรรคพลังประชาชนเคยโหวตโนแสดงความไม่เห็นด้วยกับ รธน. 50 ไปแล้วเท่านี้กลับมีคนจะเป็นจะตายจะยุบพรรคเพื่อไทย ก็แบบนี้สังคมจะอยู่ไม่ได้เพราะ อีกฝ่ายทำอะไรได้หมด ไปประชุมกันที่บ้านพิษณุโลก โดยอภิสิทธิ์เป็นประธาน เปิดโรงแรมสามรอบสิบรอบ กินข้าวกันกลับทำได้ไม่เป็นอะไร ทีพรรคเพื่อไทยทำไม่ได ก็จะได้รู้กันว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ว่าไป
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า กรณีเงิน 258 ล้าน ที่พรรคประชาธิปัตย์ รับจากบริษัท ทีพีไอ จำกัดมหาชน ผ่านนอมินี บริษัทเมซไซอะ และเงิน 29 ล้านจาก กกต. แท้ๆ ซึ่งนายประจวบ สังข์ขาว ก็บอกแล้วว่า เงินที่จ่ายมาไม่ได้ทำป้ายหาเสียง แต่พรรคประชาธิปัตย์ขอร้องให้นายประจวบ ออกบิลให้ กกต. กลับไม่ดำเนินการโดยเร็ว
“ผมขอฝากไปยังนายอภิชาต ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ขอให้อ่านสำนวนที่ดีเอสไอส่งมาโดยละเอียด เพราะผมไม่ใช่คนร้องเรียนเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ดีเอสไอได้สอบสวนพบ ว่ามีการกระทำผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ จึงได้ดำเนินคดีไปส่วนหนึ่ง และเมื่อพบว่าพรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคแล้วไม่แจ้งและพบว่าพรรคประชาธิปัตย์เอาเงิน กกต.ไปใช้ผิดประเภท จึงได้แจ้งมายัง กกต. ถ้าอย่างนี้ประธาน กกต.ยังอ่านกฎหมายไม่รู้ดูกฎหมายไม่เป็น บ้านเมืองมีปัญหาแน่ ผมบอกเลยว่าผมไม่เคยเล่นการเมืองนอกสภา แต่ถ้า กกต. ละเลยเรื่องอย่างนี้ แล้วมาเข้มงวดกวดขันกับพวกผม อะไรเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย อะไรเกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ละไม่ได้ ไอ้อย่างนี้มันไม่ยุติธรรม ผมขอถามว่าทำไมนายอภิชาต ไม่เรียก ดีเอสไอ มาสอบว่าเพราะอะไรจึงมากล่าวโทษให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทำไมไม่เรียกกรมสรรพากร มาตรวจสอบว่านายประจวบได้ออกบิลเท็จออกใบกำกับภาษีปลอมจริงไหม เพราะนายประจวบได้รับสารภาพแล้ว”
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ประธานกกต. อ่านกฎหมายไม่รู้เรื่องหรือ ทั้งที่เงิน 29 ล้าน เป็นเงิน กกต.แท้ๆและนายประจวบก็บอกว่าไม่ได้มีการเอาเงินไปทำป้ายหาเสียงอะไร
“ที่สำคัญที่สุด ดีเอสไอเขาสอบชัดว่าเงินจากทีพีไอ เอามาทำป้ายหาเสียงเลือกตั้ง สก.สข. เอามาทำป้ายรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่ากทม. นี่มันเป็นการประเมินทรัพย์สินอันสามารถประเมินได้ ว่าประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์ ทีอย่างนี้โอ้เอ้วิหารลาย สักวันหนึ่งเขาจะมาด่าหน้า กกต.อีก ขอให้ตัดสินใจไปเลย เพราะนานแบบนี้คนเขาก็ติฉินนินทา เกิดความเสื่อม” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ร.ต.อ. เฉลิม กล่าวต่อไปว่า ที่สำคัญที่สุด ตนคิดว่านายอภิชาต ก็ความจำเสื่อม เพราะในอดีตเคยมีผู้พิพากษาผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เคยมาบอกตนว่านายอภิชาต เป็นคนดี และเสนอให้เป็นอธิบดีศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่ จ.เชียงใหม่ ตนในฐานะรมว.ยุติธรรมในขณะนั้น ก็นำเสนอให้เข้าคณะกรรมการตุลา การ หรือ กต. เมื่อ กต.อนุมัติเห็นชอบ ตนก็เห็นชอบตาม ไม่ได้วีโต้ แต่นายอภิชาต กลับบอกว่า รมว.ยุติธรรม สมัยตนมีหน้าที่แค่นำรายชื่อกราบบังคมทูลเท่านั้น ทั้งที่สมัยนายอนันต์ มีเรื่องทะเลาะเกือบจะมีฆ่ากันตายเพราะรมว.ยุติธรรมไม่เห็นด้วยกับ กต.
“นายอภิชาต แหมม ให้สัมภาษณ์ลอยหน้าลอยตาบอกว่า บอกว่า โอ้ย ไม่เคยมาวิ่งเต้น คุณไม่เคยมาวิ่งเต้นกับผมหรอก แต่มีคนมาบอกผมว่าคุณเป็นคนดี และผมไม่ได้มีหน้าที่แค่นำความกราบบังคมทูล ไอ้ตรงนี้ไงความจำเสื่อม เลยทำให้ยุ่งไง ” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวและว่า ตนฝากบอกนายอภิชาตว่าอย่าพูดแต่เรื่องเงิน 258 ล้าน แต่ขอให้ตรวจสอบเงิน 29 ล้านบาทที่ประชาธิปัตย์เอามาจาก กกต. โดยขณะนั้นนายอภิสิทธิ์ ก็เป็น กรรมการบริหารพรรคตอนขอเงินด้วย ซึ่งตนจะนำเรื่องนี้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจอีกรอบ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ตนขออวยพรให้นายอภิชาต หายจากโรคความดันและอย่ามีโรคใหม่คือโรคดันทุรัง ตนเคยชื่นชมชื่นชอบนายอภิชาต และไม่คาดคิดคนเป็นอดีตผู้พิพากษาจะบอกว่ารมว.ยุติธรรมสมัยนั้น ไม่มีหน้าที่อื่นนอกจากนำความกราบบังคมทูล พูดออกมาได้ยังไง ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะเอาไม้เรียวเฆี่ยนก้นสัก 3 ที พูดมาได้ยังไงสะเปะสะปะ
เมื่อถามว่า กรณีประธานกกต.ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะยุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงอยากให้พรรคเพื่อไทยนำข้อมูลมาให้เพิ่มเติม ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า อย่ามาเอาข้อมูลจากตนเพราะตนให้ไปหมดแล้ว และคนที่ร้องเรื่องนี้คือดีเอสไอ ตนถือว่าที่นายอภิชาตพูดแบบนี้แสดงว่าไม่มีความรับผิดชอบ แสดงว่าอ่านสำนวนไม่สะเด็ดน้ำ เพราะคนกล่าวโทษเรื่องนี้คือดีเอสไอ กกต.ทำไมไม่เรียกคนที่เกี่ยวข้องมาสอบ ไม่ต้องรอสามวันเจ็ดเพราะแค่ชั่วโมงเดียวก็ก็จบแล้ว ไม่ต้องรอเรียกตน
ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าหากประธาน กกต.ไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมและยืนตามมติเดิมคือให้ยกคำร้อง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของท่านไม่ใช่เรื่องของตน
“ถ้าท่านทำผิด ท่านก็เตรียมเข้าคุก ถ้าทำถูกก็ปลอดภัย ซึ่งปกติเมื่อท่านเป็นนายทะเบียน ท่านสวมหมวก 2 ใบนะ ถ้านายทะเบียนรับคำร้องแล้วเห็นว่า ไม่มีมูล ก็ยกคำร้องไปเลย จะเอาไปเข้าที่ประชุมกกต.ทำไม เพราะเมื่อเอาเข้าที่ประชุม กกต.รับรู้แล้วก็ตั้งอนุฯ ซึ่งอนุฯ บอกไม่ผิด ที่ประชุมกกต.ก็ต้องตัดสิน ไม่ใช่ให้เอากลับมาที่ท่านใหม่อีกรอบ ทำงานยังไงกันเขาถึงด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง”
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า กรณีการร้องเรียนให้ยุบพรรคการเมือง ไม่มีครั้งไหนที่พยานแวดล้อมชัดเจนเท่าครั้งนี้ที่ร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะพยานเอกสาร พยานบุคคล
“เอาเถอะน่า ถ้ากกต.แน่จริง ก็ยกคำร้องสิ กล้าๆหน่อย อย่ามาเก็บเอาไว้เฉยๆ สุด ท้ายก็เสื่อม ไม่มีคนเชื่อถือ วันนี้ไปไหนเนี่ยต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว เพราะอะไรก็รู้อยู่เต็มอก ผมถามว่าคุณเชื่อดีเอสไอไหม ถ้าเชื่อก็เรียกเขามาถามว่าบ้าหรือเปล่าทำไมร้องประชาธิปัตย์ เรียกสรรพกรมาถามว่านายประจวบทำบิลปลอมจริงไหม ก็จบแล้วเขาเป็นหน่วยราชการ แน่จริงยกสิ แล้วผมจะทำอะไรให้เห็นบ้าง งานนี้ไม่มียอม ไม่ใช่ข่มขู่นะแต่ มีเอกสารหลักฐานทั้งหมด ถ้ายกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขอให้ยุบดีเอสไอไปด้วย”
เมื่อถามว่ามีการวิ่งขอไม่ให้ยุบประชาธิปัตย์หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าตนไม่ทราบว่าวิ่งร้อยเมตรหรือพันเมตร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ทางพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ส่วนกระทรวงที่ทุจริตมากที่สุด ถ้าจะตรวจสอบว่าใครทุจริตมากกว่ากันต้องวัดเป็นความดันโลหิต ระหว่างกระทรวงพานิชย์และกระทรวงคมนาคม สูสีจริงๆ ส่วนจะเอาใครเดี๋ยวจะบอกส่วนจะอภิปรายใครเพิ่มหรือไม่ ยื่นตอนไหนทางพรรคจะมีการหารืออีกครั้ง
เมื่อถามว่าหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้น ได้เตรียมชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตรงนี้ยังไม่พิจารณากัน คราวที่แล้วใส่ชื่อตนก็ไม่เห็นแผ่น ดินจะทรุด ส่วนพรรคจะใส่ชื่อใครก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่ใช่คนนอกพรรค ซึ่งถ้าเห็นว่า น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ หรือ การุณ โหสกุล เหมาะก็ใส่ชื่อไปใครก็ได้แต่ต้องเป็นพรรคเพื่อไทย
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนขอเสนอแนวทางที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ว่านายอภิสิทธิ์ ต้องเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทุกพรรคการเมือง กลุ่มเสื้อเหลือง กลุ่มเสื้อแดง พรรคการเมืองใหม่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ มาหารือจากนั้นให้ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งออกมาใครได้เสียงข้างมาก ก็ให้เป็นรัฐบาลและทุกฝ่ายต้องยุติไม่ต้องมาประท้วงกัน ถ้านายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เสียงข้างมากก็ให้เป็นนายกฯไป ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะผมหานายกฯได้