ปีใหม่ 2553 เป็นปีที่คนไทยอยากเห็นบ้านเมืองกลับคืนสู่ความปกติซะที ในขณะที่บรรยากาศทางการเมืองยังอึมครึมไม่เปลี่ยนแปลง ผลพวงการยึดอำนาจสามารถพิสูจน์ได้ แล้วว่าทำให้ประเทศล่มจมแค่ไหน วันนี้ถ้าจะมองถึงปัจจัยความเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องบอกว่าอาการยังน่าเป็นห่วง
ใกล้จะถึงจุดเดือด
ความเห็นทางการเมืองจากผู้มีอำนาจนั้นหลากหลาย ที่ยังฮึดปลุกระดมเอาเรื่องเอาราวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เหลือคนไม่กี่กลุ่ม เพราะคนส่วนใหญ่หันไปมองในแง่การสงบศึกมากกว่า ยิ่งความเป็นธรรมไม่มีมาตรฐาน ยิ่งแตกต่างมากเท่าไหร่ ชาวบ้านก็ยิ่งจะเห็นใจคนแพ้มากยิ่งขึ้น
ต้องขออนุญาตพาดพิงถึง องคมนตรีหลายท่าน ที่ออกมาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อบ้านเมืองอยากให้เกิดความสามัคคีปรองดองและเจรจาแก้ปัญหาอย่างสันติ
ก็ยังมีคนบางพวกที่พยายามตะแบง
ในบรรยากาศต้อนรับปีใหม่มีบุคคลสำคัญของประเทศหลายท่านออกมาแสดงความเห็นต่อสถานการณ์บ้านเมือง ที่ต้องเงี่ยหูฟังมากที่สุดเห็นจะเป็นเสียงจากกองทัพ ปีนี้สีเขียวมาแรง
กรณีทหารจะปฏิวัติไม่ปฏิวัติ พูดกันหนาหู วันก่อน พล.อ. ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า กองทัพไม่เกี่ยวกับการเมือง และกองทัพไม่ได้เป็นกลาง แต่กองทัพจะเข้ามาดำเนินการตามภารกิจ และเมื่อถามถึงการปฏิวัติรัฐประหาร ผบ.สส.ย้ำว่า ปิดประตูได้เลย เพราะการยึดอำนาจไม่ใช่ทางออกในการแก้ไขปัญหา ฟังดูทะแม่ง
พร้อมกันนั้น พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พูดเป็นปริศนาว่า ทุกอย่างจะจบไม่เกินเดือนเมษายนนี้ ทั้งนี้ อยู่ที่เงื่อนไขการนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าฝ่ายรัฐบาลยอมรับ ทุกอย่างก็จบ ถ้าไม่ยอมรับก็จะเกิดความรุนแรงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
จะนำไปสู่วงจรอุบาทว์
นอกจากม็อบบนท้องถนนแล้ว ยังมีศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่จองกฐินไว้เรียบร้อยแล้ว ประชาธิปัตย์เป็นตัวชูโรง นอกจาก นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมี กษิต ภิรมย์ รมว. ต่างประเทศ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ
ตั้งเป้าทุบกล่องดวงใจประชาธิปัตย์โดยเฉพาะ
เอาแค่ต้นปีการเมืองก็ร้อนแรง เพราะฉะนั้นประเทศไทยคนไทยจะต้องเตรียมรับมือกับวิกฤติบ้านเมืองที่จะเกิดในปีนี้ให้ดี รวมทั้งรัฐบาลก็ควรจะตั้งเป้าหมายในการบริหารประเทศให้ชัดเจนไม่ใช่ไร้ทิศทาง
สะเปะสะปะ.
หมัดเหล็ก
