คอลัมน์ เหล็กใน
แต่ก็ยังย้ำเงื่อนไขต้องร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตย ที่ยื่นในวันร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล
แต่เมื่อฟังนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ก็คงหายใจไม่ค่อยทั่วท้องนัก
เพราะดูเหมือนจะสำทับพรรคประชาธิปัตย์อย่าบิดพลิ้ว ถ้าผิดสัญญาอะไรก็เกิดขึ้นได้
นั่นคือจับมือพรรคอื่นร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญ หรือเปลี่ยนขั้วผละหนี
สอดรับกับการแถลงของนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรค ที่บอกว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
ในส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งนายบรรหาร ศิลปอาชา ก็ออกมาย้ำว่าต้องเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว
ล่าสุด นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรค ก็ออกมายืนยันอีกครั้งว่าที่ผ่านมาชาติไทยพัฒนาได้ลดเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญมามากแล้ว ดังนั้นหากพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เห็นด้วยที่จะแก้ไข หรือยื้อเวลา ก็จะไปจับมือแก้ไขกับพรรคอื่นแทน หากหลังปีใหม่ยังไม่มีความคืบหน้า จะทวงถามนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
พร้อมกับย้ำด้วยว่าที่ทำเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นการท้าทาย
ยังไม่นับพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ยืนยันว่าจะต้องแก้รัฐธรรมนูญเช่นกัน
เมื่อ 3 พรรคร่วมรัฐบาลประสานเสียงพร้อมใจกันให้แก้ในบางประเด็นก่อนอย่างนี้
ยิ่งน่าศึกษาท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์
ก่อนหน้านี้ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค ถึงขนาดออกโรงชนกับนายบรรหารว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญต้องถามพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกวุฒิสภา รวมถึงถามกระแสสังคมด้วย
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรค อ้างว่าพรรคชาติไทยพัฒนายังมีความเห็นไปคนละทาง ต้องมาคุยกันอีกครั้ง พร้อมหยิบข้อเสนอของคณะกรรมการสมาน ฉันท์เสนอ ใน 6 ประเด็น ซึ่งเบื้องต้นตกลงกันว่าจะทำประชามติก่อนแก้ไข
การให้ไปคุยเรื่องแก้รัฐธรรมนูญที่สภา ก็ถือว่าต้องโยนการทำประชามติทิ้งไปเลย และประชาธิปัตย์ได้ถอยไปก้าวหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้พรรคยืนยันมาตลอดว่าจะต้องมาทำประชามติก่อน แต่ครั้งนี้ถึงกับโยนการทำประชามติทิ้ง หากมาตราใดเห็นตรงกัน
จึงต้องถามกลับไปว่าแล้วจะเอาอะไรอีก
ขณะที่นายบุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค ระบุว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากแก้มาตรา 190 และเขตเลือกตั้งก่อนนั้น หากประเด็นดังกล่าวไม่สร้างความแตกแยก ก็อาจจะให้รัฐสภาที่ประกอบด้วย ส.ส. และส.ว. ร่วมพิจารณาว่าจะเดินหน้าเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งพรรคไม่คัดค้าน แต่จะต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมก่อน เนื่องจากยังมีความเห็นที่แตกกันอยู่
สรุปก็คือยังอยากยื้อต่อ